การนำระบบ ERP ไปใช้ในธุรกิจ
ซอฟแวร์ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning)
เราจะสามารถเรียกว่า ERP ได้หรือไม่ ต้องดูว่ามีส่วนประกอบระบบย่อย (Module) ต่างๆก่อนว่าบรรจุมาครบ 4 หมวดหลักข้างล่าง หรือเปล่า
1. หมวดลอจิสติกส์ Distribution or Logistics : ระบบที่เกี่ยวกับการซื้อ (วัตถุดิบ) และขาย (สินค้า) ต้องมีระบบ Purchasing (PU) และ Sale Order Processing (SO) บางซอฟแวร์อาจรวมถึงระบบบริหารคลังสินค้า (Warehouse Management) ด้วย หมวดนี้ถ้าซอฟแวร์ที่ดีจริงต้องรวมหมายถึง ระบบการจัดส่งแบบครบวงจรทั้งระบบ ไม่ว่า shipping การนำเข้าและส่งออก BOI ฯลฯ ด้วย จริงๆแล้วจุดประสงค์ของหมวดนี้ก็คือ ตัวซอฟแวร์ต้องบอกให้เรารู้ว่า วัตถดิบที่สั่งมาจาก supplier ตอนนี้อยู่ที่ไหน เช่น อยู่ในขั้นตอนการสั่งซื้อ ลงเรือมาแล้ว อยู่ที่ท่าเรือ ฯลฯ หรือ สินค้าที่ส่งไปให้ลูกค้า ไปถึงเขาหรือยัง อยู่ที่ไหน ฯลฯ
2. หมวดการผลิต Production or Manufacturing: MRP I, MRP II ระบบที่เกี่ยวกับการผลิตสินค้า ก็ต้องมีกระบวนการครบตั้งแต่ นำวัตถุดิบ มาผ่านกระบวนการผลิต จนเป็นสินค้า ทั้งในส่วนการวางแผน (Planning) และการควบคุม (Control) ฯลฯ ซึ่งมักประกอบด้วยโมดูล อาทิ Inventory Management (IM), Bill-Of-Material (BOM) & Routing, Production Planning & Schduling (PC), Material Planning (MRP), Capacity Planning etc. สำหรับเรื่องการวางแผนและควบคุมกระบวนการผลิต ให้ลองหาอ่านในตำราเกี่ยวกับเรื่อง Material & Production Planning & Control เพราะมีหลายระบบ คัมบัง (Janban) ไคเซ็น (Kaizen) JIT (Just-In-Time) ฯลฯ ส่วนมากซอฟแวร์ต่างประเทศจะใช้โครงสร้างหลักมาจากทฤษฏีเหล่านี้ก่อน แล้วเอาประสบการณ์สถานการจริงมาเสริมเข้าไป หมวดการผลิตนี้ หลักๆจะแยกเป็นสองส่วนคือ Material กับ Production การที่เราจะผลิตสินค้าอะไรก็ต้องรู้กรรมวิธีการผลิต รวมถึงส่วนผสมต่างๆที่ใช้ในการผลิต เรียกต้องมีโมดูลเรื่องสูตรการผลิต (BOM)
* เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะผลิตอะไร เท่าไร ก็ต้องมีระบบพยากรณ์ยอดขาย (Forecast) รวมถึงระบบการวิเคราะห์การขาย (Sale Analysis)
* การวางแผนสั่งซื้อวัตถุดิบเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการผลิต ถ้าสั่งมาไม่ทันไม่พอดี ไลน์การผลิตก็หยุด สั่งมาเกินก็ต้นทุนจม ดังนั้นก็ต้องมีการวางแผนที่ดี เรื่องพวกนี้อยู่ในหมวด MRP-I เมื่อวางแผนแล้วก็ลงมือปฏิบัติและติดตามผล เช่น ผลิตวันละสองพันชิ้น แต่ทำจริงได้ขาดเกิน ฯลฯ ก็ต้องมีระบบมาควบคุมและติดตามผล (Control)
* หมวดนี้เป็นจุดสำคัญที่จะแยกว่า ERP เหมาะกับเราหรือไม่ เพราะระบบการผลิตในแต่ละอุตสาหกรรมไม่เหมือนกัน เช่น โรงงานทำยา อาหาร ประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ เหล็ก ฯลฯ หรือวงการเครื่องนุ่งห่มการ์เม้นท์ (Garment) ดังนั้นให้เลือกดูจากยี่ห้อของผู้ขายว่า เขามีประสบการณ์ช่ำชองในอุตสาหกรรมประเภทไหนมาก่อน
3. หมวดการเงิน Finance or Accounting: หมวดนี้ก็คือ ระบบบัญชีและการเงินพื้นฐานหลัก 3 modules คือ ระบบบัญชีเจ้าหนี้ AP (Account Payable), ระบบบัญชีลูกหนี้ AR (Account Receivable), ระบบบัญชีแยกประเภท GL (General Ledger) แต่ ERP ที่ออกแบบมาสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมนั้น ต้องที่มี ระบบบัญชีต้นทุน (Costing) ด้วย เนื้อหาสาระอยู่ที่ระบบ Costing น่ะครับ เพราะกำไรขาดทุน ต้องรู้ต้นทุนและบริหารต้นทุนเป็น ผมมองดัชนีชี้วัดความสำเร็จของนำระบบ ERP มาใช้ตรงที่ให้ข้อมูลส่วนนี้แก่ผู้บริหารที่จะนำไปใช้ในการตัดสินใจได้ ดังนั้น ระบบบัญชีของ ERP ไม่เหมือนระบบ trading ที่ซื้อมาขายไปที่เน้นด้านการตลาดเป็นหลัก แต่เน้นระบบบัญชีโรงงาน เน้นต้นทุนเป็นหลัก เพราะต้องผลิตสินค้า ต้องรู้ต้นทุน ค่าวัตถุดิบ ค่าโสหุ้ย ค่าแรง ค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ ที่ใช้ในการผลิตสินค้า ดังนั้น ระบบต้องหาต้นทุนสินค้าจริงต่อหน่วยออกมาให้ได้
4. หมวดเสริม Others ส่วนนี้เป็นเรื่องอาหารเสริม อาทิ ระบบบุคคลากร Human Resource, ระบบซ่อมบำรุง Maintenance, ISO etc. สำหรับระบบบริหารงานบุคคลส่วนมากมักพัฒนาขึ้นเองครับ เพราะจุกจิกหลายอย่าง รวมถึงเรื่องตัวบทกฎหมายของแต่ละประเทศที่ไม่เหมือนกัน ฯลฯ
* ระบบ ERP ที่สมบูรณ์นั้น ต้องมีการเชื่อมโยงกันของทุกๆ modules ในทุกหมวดข้างต้นอย่างกลมกลืน เรียกว่า online realtime ไม่ว่าจะอยู่จุดไหนในโลก (anywhere anytime anyplace anypoint…) ยกตัวอย่างเช่น ถ้าลูกค้ามีการคืนสินค้า ระบบต้องรู้เลยว่า สินค้าที่คืนนี้ เป็นสินค้าของเราจริงหรือไม่ อินวอยร์ไหน ขายไปวันไหน ล๊อตไหน ผลิตวันไหน ผลิตที่แผนกไหนเวลาไหน เครื่องจักรไหน คนงานที่ผลิตชื่ออะไร ใช้ชิ้นส่วนวัตถุดิบอะไร ล๊อตไหน ซื้อมาจากไหน วันไหน ใบสั่งซื้อเลขที่เท่าไร ฯลฯ
* หัวใจของการระบบ ERP อยู่ที่ข้อสอง ส่วนมากหลายที่นำ ERP มาใช้เพียงแค่ข้อ 1 & 3 (Logistic & Finance = trading) เท่านั้น ซึ่งผมว่ายังไม่ถึงแก่นแท้ของระบบ ERP คือ Logistic กับ Accounting เปรียบเหมือนเราแค่ปลอกเปลือกส้ม แต่ยังไม่ถึงเนื้อหรือแกนข้างในที่บรรจุ MRP (Material Requirement Planning) ไว้
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=6fcc2a2c5e0fcd75
ตัวอย่างบริษัทที่ใช้ERPในประเทศไทย
ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) สำหรับบริษัท ไทยแลนด์ เทรดดิ้ง อินฟอร์เมชั่น เซอร์วิส จำกัด (TTIS ธุรกิจเกี่ยวกับธุรกิจสิ่งพิมพ์โดยมุ่งเน้นทางด้านสิ่งทอเป็นหลัก ระบบเก่า ของบริษัทฯ มีปัญหาค่อนข้างมาก เช่น ปัญหาเรื่องการเก็บข้อมูลที่ไม่มีประสิทธิภาพ ความซับซ้อนของ โปรแกรม ความซับซ้อนของข้อมูล ได้ทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ของระบบและทำการสร้างระบบขึ้นมาใหม่เพื่อให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้นและยังเป็นการช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล
บริษัท ไทยแลนด์ เทรดดิ้ง อินฟอเมชั่น เซอร์วิส จำกัด (TTIS) เป็นบริษัทที่รับทำสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ซึ่งในปัจจุบัน ทางบริษัทฯได้มีการขยายระบบและการพัฒนาองค์กรในต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นผลทำให้ระบบเดิมที่ทางบริษัทฯ ใช้ในการจัดการองค์กรนั้นมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอกับการขยายงาน จึงทำให้เกิดปัญหาหลายๆ ด้านตามมา ได้แก่
1. เกิดการซ้ำซ้อนของการจัดเก็บข้อมูลในระบบ ซึ่งปัญหานี้เป็นผลพวงมาจากการออกแบบระบบเดิมนั้นไม่ได้รองรับการขยายตัวขององค์กรภายภาคหน้า จึงทำให้ต้องมีการสร้างระบบใหม่เพื่อมาต่อเติมระบบเก่าอยู่ตลอดเวลา
2. ปัญหาของระบบเดิม เนื่องจากระบบเดิมมีการสร้างส่วนต่อเติมเพื่อรองรับการขยายงานที่เพิ่มขึ้นขององค์กรจึงทำให้ระบบมีความยุ่งยากในการใช้งาน
จากปัญหาดังกล่าวบริษัท ทีทีไอเอส จำกัด จึงมีความประสงค์ที่จะสร้างระบบใหม่เพื่อลดความซ้ำซ้อนของการจัดเก็บข้อมูลของระบบ อีกทั้งเพื่อรองรับการขยายงานที่มีอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ เพื่อให้ปัญหาดังกล่าวหมดไปจึงได้มีการสร้างระบบ ERP FOR TTIS ขึ้น
ระบบ ERP สำหรับบริษัท ทีทีไอเอส จำกัด จะคำนึงถึง 4 ส่วนใหญ่ๆ ของระบบเท่านั้น คือ ระบบงานขาย ระบบลูกค้า คลังสินค้า และส่วนบริหารระบบ ซึ่งการทำงานทั้ง 4 ส่วนนั้นมีความเชื่อมโยงกันเป็นอย่างเป็นระบบ โดยส่วนบริหารระบบจะเป็นส่วนการกำหนดข้อมูลเบื้องต้นของระบบ เช่น ข้อมูลการวางแผนประจำปีของบริษัท การกำหนดยอดการขาย การเพิ่มข้อมูลส่วนพนักงานใหม่ เป็นต้น ในส่วนระบบลูกค้าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันระหว่างฝ่ายขายของบริษัทกับลูกค้าโดยตรง ระบบจะทำหน้าที่เก็บข้อมูลรวมถึงการติดต่อและติดตามงานลูกค้าทุกประเภท ซึ่งทำให้สามารถทำการติดตามย้อนหลังของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้พนักงานยังสามารถดึงข้อมูลลูกค้าทุกคนผ่านระบบงานขายเพื่อทำการออกใบเสนอราคา หรือทำการบันทึกติดต่อซื้อขายกับลูกค้าผ่านระบบนี้ได้อีกด้วย อีกทั้งระบบคลังสินค้าสำหรับโครงงานนี้ สามารถทำการบันทึกสินค้าเข้า-ออกคลังและตรวจสอบสินค้าตามจำนวนสินค้าที่ขายโดยนับจำนวนจากสินค้าที่ออกตามใบข้อตกลง ซึ่งนับว่าเป็นการรวมทุกส่วนเข้าด้วยกันผ่านระบบ ERP
สรุปผล
สำหรับบริษัท ทีทีไอเอส นี้ ได้จัดทำระบบ ERP ขึ้นใหม่ ข้อมูลพื้นฐาน ข้อมูลลูกค้า งานขาย และคลังสินค้า โดยพัฒนาจากระบบเดิมที่ทางบริษัทใช้งานอยู่ แต่เนื่องจากระบบเดิมที่บริษัทใช้อยู่ มีการใช้งานที่ยากซับซ้อน มีการเก็บข้อมูลทับซ้อน และทำงานได้ช้า จึงได้นำ ERP ระบบใหม่เข้ามาใช้งาน ตามความต้องการของบริษัท
หลังการนำระบบ ERP มาใช้ พบว่าสามารถใช้งานเป็นไปตามความต้องการของลูกค้า สามารถลดความซ้ำซ้อนของการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลได้ พนักงานสามารถใช้งานได้ง่าย สะดวก และผู้ใช้สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายในกระบวนการทำงาน รวมถึงการประมวลผลเร็วกว่าระบบเดิม
ที่มา http://erpeau.blogspot.com/2012/09/erp_8966.html
ไอเอฟเอส โซลูชั่นส์ ไทย – ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการก่อสร้างและบริหารโรงงานเชิงอนุรักษ์ได้ใช้ไอเอฟเอส แอ็พพลิเคชั่นที่เป็นระบบ ERP แบบครบวงจร มุ่งเน้นการบริหารงานโครงการและให้บริษัทเข้าสู่สากล ทำให้บริษัททำงานได้อย่างเป็นมาตรฐานมากขึ้นด้วยระบบ ERP ที่มีการเชื่อมต่อระบบของสาขาทั่วโลก เพิ่มประสิทธิภาพและลดเวลาการทำงาน
บริษัทสมบูรณ์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี – เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ชั้นนำของประเทศไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เพลาข้าง ด้วยระยะเวลาการทำธุรกิจ พิสูจน์ให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นผ่านกระบวนการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับสากล ที่สำคัญกลุ่มบริษัทสมบูรณ์ เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่นำระบบ ERP ของ SAP ไปใช้งานเพื่อทดแทนระบบงานเดิม ในการนำ SAP มาใช้ในองค์กร เพราะต้องการนำระบบ ERP มาพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพ เรียกดูข้อมูล
ได้อย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับระบบเดิมที่ต้องใช้เวลางาน
ทีโอที – บริษัท ทีโอที ได้มีการนำระบบ ERP มาใช้งานโดยใช้ระบบ SAP ก่อนที่จะมาใช้ระบบ SAP นั้น บริษัทใช้ระบบ Manual ซึ่งมีความล้าช้า บริษัทจึงนำระบบใหม่เข้ามาใช้โดยใช้โปรแกรม SAP ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
บริษัท คริสตอลซอฟท์ จำกัด (มหาชน) – จำหน่ายผลิตภัณฑ์ FORMA ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ ที่ถูกออกแบบด้วยเทคโนโลยี Client / Server เพื่อรองรับธุรกรรมที่มีจำนวน Transaction ปริมาณมาก และต้องการความปลอดภัยของข้อมูลสูง ทีมงานบริหารของคริสตอลซอฟท์มีความคิดที่จะใช้ระบบ ERPที่มีความสามารถเหนือกว่าหรือทัดเทียมซอฟท์แวร์จากต่างประเทศ จากประสบการณ์ในการผลิตซอฟท์แวร์ FORMULA ERP นสามารถเป็นผู้นำในการผลิตซอฟท์แวร์ทางด้านบัญชี ให้ผู้อื่นเดินตามและมีจำนวนผู้ใช้งานบน Windows มากที่สุด ทีมงานจึงไม่หยุดอยู่แต่เพียงแค่นั้น ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ FORMA ERP ขึ้นมาสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ คือ FORMA TRD สำหรับธุรกิจซื้อมา-ขายไป
ดันกิ้นโดนัท – ระบบ ERP ถูกนำมาช่วยในการจัดการวัตถุดิบให้มีจำนวนพอเหมาะกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละร้าน ซึ่งช่วยในเรื่องของค่าใช้จ่ายโดยไม่ต้องมีของเหลือค้างสต็อก ระบบ ERP ช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถเชื่อมโยงและเก็บข้อมูลของสาขาต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ฝ่ายการตลาดสามารถรับรู้ข้อมูลการขายของแต่ละร้านในช่วงเวลาต่างๆได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้สิ้นสุดในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้สามารถวางแผนกลยุทธ์และกำหนดรายการส่งเสริมการขายได้อย่างรวดเร็ว และนำข้อมูลมาช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์แนวโน้มและวางแผนการบริหารได้อย่างทันท่วงที
การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) – ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดดำเนินการและนำมาซึ่งความเจริญของกิจการท่าเรือ เพื่อประโยชน์แห่งรัฐและประชาชน โดยเปิดให้บริการต่าง ๆ มากมาย เช่น บริการให้เช่าสถานที่ บริการรับฝากเก็บและบรรจุสินค้าเข้าตู้เพื่อการส่งออก บริการกองพัสดุ บริการขุดลอกร่องน้ำ บริการพื้นที่จอดรถ และบริการท่าเทียบเรือชายฝั่ง เป็นต้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดหาโปรแกรมสำเร็จรูปด้าน ERP มาประยุกต์ใช้ ซึ่งทางกลุ่มบริษัทผู้พัฒนาระบบ ERP ได้เข้ามารปรับข้อมูลในระบบให้ถูกต้องครบถ้วน การปรับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานแต่ละบุคคล รวมทั้งแผนกฝึกอบรมผู้ใช้งาน เพื่อสามารถรองรับการปฏิบัติงานด้วยระบบ ERP ภายใต้โครงสร้างองค์กรใหม่ของ กทท. ให้มีความเชื่อมโยงกันได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการทำงานเป็นทีมที่สามารถใช้พื้นฐานข้อมูลเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ
เกรซ ออฟ อาร์ท – ผลิตอัญมณีไทยขนาดกลางโดนแรงกดดันจากการแข่งขันจนรายได้ถดถอยต่อเนื่อง ทำให้ต้องตัดสินใจปรับกลยุทธ์ธุรกิจจากการรับจ้างผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า มาเป็นการออกแบบเครื่องประดับด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นของตนเองแล้วนำไปเสนอขายให้ลูกค้าแทน และได้มีการนำระบบไอทีเข้าช่วย ระบบที่ใช้ ก็คือ ERP ระบบดังกล่าวได้เข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบ คือ ตั้งแต่การบริหารจัดการระบบสต็อกวัตถุดิบ ไปจนถึงระหว่างกระบวนการผลิตที่ขั้นตอนการผลิต ด้วยระบบ ERP บริษัทสามารถมีระบบบริหารทรัพยากรในการผลิตซึ่งก็คือวัตถุดิบที่อยู่มากกว่า 10,000 ชนิด ได้แก่เพชร พลอย และหิน ในขนาด สีและเฉด รูปร่าง และคุณภาพ ที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบอีอาร์พีนี้ช่วยให้ บริษัทสามารถเห็นสถานะของสต็อกแบบเรียลไทม์ ทำให้รู้ว่าวัตถุดิบตัวไหนที่ต้องสั่งเพิ่มบ้าง หรือต้องเตรียมสั่งเพิ่มเมื่อใด เมื่อระบบคอมพิวเตอร์คำนวณให้จากปริมาณออร์เดอร์ที่เข้ามา
UC – เป็นบริษัทที่ผลิตและประกอบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ สินค้าของบริษัทมีหลากหลายอย่าง ทั้ง Logic Devices , Memory, Mass Storage, ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ประยุกต์, อุปกรณ์ Networking ฯลฯ ในต้นทศวรรษที่ 1990 ทางบริษัทฯ ไม่พอใจระบบสารสนเทศที่ใช้ในการจัดการระบบการผลิตและกระจายสินค้า โดยไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้แบบทันทีทันใด รวมถึงมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและซ้ำซ้อน ผู้บริหารไม่สามารถได้ข้อมูลแบบ Real Time ความไม่มีประสิทธิภาพของระบบบั่นทอนความสามารถของบริษัทในการจัดส่งสินค้าให้ลูกค้า โดยในปี 1993 ได้เปลี่ยนมาใช้ระบบ ERP ระบบใหม่เชื่อมโยงข้อมูลของการวางแผน การจัดการคำสั่งลูกค้า การจัดซื้อ และการผลิต ได้ดีมากขึ้น
ที่มา http://www.openerpthailand.org/viewtopic.php?f=4&t=134
ข้อดีและข้อเสียของซอฟแวร์ ERP สำเร็จรูป
สำหรับท่านที่กำลังมองหา โปรแกรม ERP มาใช้กับระบบ Accounting & Distribution ในองค์กร เชื่อได้ว่าข้อมูลที่จะกล่าวดังต่อไปนี้ จะช่วยให้ท่าน เลือกโปรแกรมได้ตรงตามความต้องการ และสามารถนำไปใช้งานได้จริง มากกว่าการที่ไม่ได้เตรียมการอะไรเลย
ในอดีตหลายองค์กรมักเริ่มต้นการใช้ IT ด้วยการพัฒนาระบบ Accounting & Distribution ขึ้นมาด้วยตนเอง ซึ่งอาจจะพัฒนาด้วยบุคคลากรภายใน (In-house Development) หรือจ้าง Software House มาพัฒนาให้ ตามความต้องการเฉพาะ แต่ละองค์กรนั้น ซึ่งการใช้วิธีพัฒนาเอง หรือจ้างพัฒนานี้ ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ที่แตกต่างกัน
ERP คืออะไร
ERPย่อมาจาก Enterprise Resource Planning
ERPคือ การวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรขององค์กร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบจะเชื่อมโยงระบบงาน ต่างๆ ภายในองค์ เช่น งานขาย,งานทรัพยากรมนุษย์,งานบัญชีการเงิน,งานโครงการ, งานผลิต รวมถึงระบบการกระจายสินค้า เข้าำไว้ด้วยกัน
ระบบ ERP เบื้องต้น
ระบบ erp เบื้องต้น Accounting & Distribution ใช้สำหรับองค์กรที่ยังไม่เคยใช้ระบบ erp มาก่อนเพื่อที่จะทอลองใช้เบื้องต้นดูเพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากนั้นค่อยพัฒนาปรับขึ้นไปหลังจากที่ได้มีประสบการณ์ ระบบ erp เบื้องต้นแล้วเพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ราคา ERP
ราคาขี้นอยู่กับตัวโปรแกรมที่นำไปใช้ระบบ Accounting & Distribution ว่าเป็นระบบขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนหรือขนาดเล็ก
ข้อดีของการพัฒนา โปรแกรม ERP เอง
1. ได้ระบบตรงตามความต้องการ 100% เพราะผู้พัฒนา ย่อมต้องทำโปรแกรม ตามที่ผู้ใช้ต้องการ โดยไม่มีเงื่อนไข
2. สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ในการพัฒนาได้มากกว่า เช่น การเร่งเวลา การเพิ่มบุคคลากร การแก้ไขรายละเอียด (Specification) ของโปรแกรม และการรักษาความลับทางธุรกิจ เป็นต้น
ข้อเสียของการพัฒนา โปรแกรม ERP เอง
1. ต้นทุนในการพัฒนาจะสูง และควบคุมงบประมาณได้ยาก เพราะองค์กรต้องจ่ายเงินเดือนประจาให้โปรแกรมเมอร์ และต้องซื้อเครื่องไม้เครื่องมือ เพื่อการพัฒนาด้วยตนเอง แต่เพียงผู้เดียว ไม่อาจเฉลี่ยค่าใช้จ่าย ให้กับผู้อื่นได้ และมีความเสี่ยง หากทาเองแล้วไม่สาเร็จ
2. ค่าใช้จ่าย ในการบารุงรักษาโปรแกรม จะสูงแปรผันตามการลงทุน ในการพัฒนาโปรแกรม เพราะจะต้อง ว่าจ้างโปรแกรมเมอร์ ที่เขียนงานไว้เพื่อดูแลระบบต่อไป อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว กาลังงานที่ใช้ในการดูแล (Maintain) จะต้องน้อยกว่าขั้นตอนการพัฒนาเสมอ
3. องค์กรอาจถูกพนักงานโปรแกรมเมอร์ กลั่นแกล้งหรือต่อรอง กับองค์กร เพื่อประโยชน์ตนเอง ซึ่งองค์กร มักตกเป็นเบี้ยล่าง เพราะซอฟท์แวร์ ที่โปรแกรมเมอร์เขียนไว้ ไม่สามารถหาบุคคลอื่นมาดูแล หรือสานงานต่อได้ เมื่อโปรแกรมเมอร์ลาออก ก็ต้องทิ้งโปรแกรมตามไปด้วย หรือทนใช้ไป ท่ามกลางความเสี่ยง เหมือนยืนอยู่บนเส้นด้าย
4. องค์กรไม่อาจมุ่งทรัพยากรทั้งหมด เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะ อุตสาหกรรม ที่ดาเนินการอยู่ได้อย่างแท้จริง เพราะต้องคอยมาบริหาร การพัฒนาโปรแกรม ควบคู่ไปด้วย ทั้งๆที่ไม่ใช่ความเชี่ยวชาญหลัก ขององค์กร
5. องค์กรมักตามไม่ทัน กับเทคโนโลยีด้าน IT ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะบุคลากรภายใน ไม่ได้ถูกผลักดันจากภาวะการแข่งขัน ในการพัฒนาโปรแกรม กับองค์กรอื่น
6. บุคลากรหรือโปรแกรมเมอร์ ภายในองค์กร มักมีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญน้อยกว่า โปรแกรมเมอร์ จากบริษัท Software House หรือจากบริษัทผลิตโปรแกรมสาเร็จรูป เพราะบริษัทเหล่านั้น มีการถ่ายทอด แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ระหว่าง Senior Programmers และ Junior Programmers ได้อย่างทั่วถึง และมีการพัฒนาโปรแกรม ตลอดเวลา เป็นระยะเวลานาน ทาให้มีความเชี่ยวชาญ เป็นมืออาชีพมากกว่า
7. เมื่อความต้องการขององค์กรเปลี่ยนไป ในอนาคตตามสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ โปรแกรมที่พัฒนาไว้เดิม อาจไม่รองรับการเปลี่ยนแปลง หรือไม่มีความยืดหยุ่นพอ เพราะผู้ออกแบบโปรแกรม ไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากความไม่มีประสบการณ์ ความมักง่าย หรือความไม่รู้ หากโชคดีก็อาจจะพอแก้ไขกันได้ แต่หากโชคร้าย ก็ต้องพัฒนากันใหม่ เสียทั้งเงินทั้งเวลาอีกครั้ง
บทสรุปของการพัฒนา โปรแกรม ERP เอง
รูปแบบการพัฒนาโปรแกรมเองนี้ มักเป็นทางเลือกที่มีลักษณะเฉพาะอยู่มาก เช่น มักเป็นระบบ ที่เกี่ยวเนื่องกับความลับ หรือ Know How ขององค์กรที่ไม่ต้องการเปิดเผย ให้ผู้อื่นทราบ หรือต้องการความรวดเร็วเร่งด่วน ในการพัฒนา จากความต้องการ ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่น ระบบ Billing ของธุรกิจให้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทย ที่มีโปรโมชั่นใหม่ทุกๆเดือน หรือระบบการขายแบบ MLM (Multi Level Marketing) ที่มีความซับซ้อน ในการขายและการคิด Commission เป็นต้น
ข้อดีของการจ้างพัฒนา โปรแกรม ERP เอง
1. ได้ระบบตามข้อตกลงการว่าจ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับรายละเอียด และความชัดเจนของสัญญา
2. ต้นทุนในการพัฒนา และดูแลรักษาจะต่ำ กว่าการพัฒนาเอง เพราะเมื่อพัฒนาโปรแกรมเสร็จแล้ว องค์กรไม่ต้องรับภาระเงินเดือน โปรแกรมเมอร์ต่อ และไม่ต้องลงทุน เครื่องมือในการพัฒนาระบบเอง
3. สามารถควบคุมงบประมาณ การพัฒนาได้ หากมีความรอบคอบ ในการกาหนดขอบเขต และความรับผิดชอบของคู่สัญญา
4. ลดความเสี่ยง จากการผูกมัดโปรแกรม กับตัวบุคคล คือบุคลากรขององค์กรเอง ทั้งความเสี่ยงจากการลาออก หรือไม่สามารถทางานต่อไปได้
5. องค์กรสามารถ มุ่งพัฒนาความเชี่ยวชาญด้านอื่น มากขึ้นโดยไม่ต้องกังวล กับงานการพัฒนาโปรแกรม ที่ตนเองไม่มีความเชี่ยวชาญ
6. ผู้รับจ้างเป็นผู้รับผิดชอบ ในความสาเร็จของงาน ในนามนิติบุคคล ซึ่งเป็นความผูกพันด้วยกฏหมายแพ่ง และพาณิชย์ จึงทาให้ลดความเสี่ยง ในการลงทุน กรณีทาไม่สาเร็จตามแผนงาน ที่กาหนดไว้
ข้อเสียจากการจ้างพัฒนา โปรแกรม ERP เอง
1. โปรแกรมที่ได้ จะขาดความยืดหยุ่น และขาดการเตรียมการ สาหรับ การเปลี่ยนแปลงโปรแกรมในอนาคต เพราะผู้รับจ้าง จะผลิตโปรแกรมด้วยวิธีการ ที่เร็วที่สุด ถูกที่สุด เพื่อประหยัดต้นทุน ในการพัฒนาและให้มีกาไร และจะพัฒนาตามรายละเอียด ข้อสัญญา ที่มีการระบุไว้ เท่านั้น
2. โปรแกรมที่ได้ จะเป็นโปรแกรมที่ไม่ได้รับ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หากต้องการจะเพิ่มความสามารถใหม่ๆ ก็ต้องมีการว่างจ้างเพิ่มเติมเป็นคราวๆ ไป
3. ต้นทุนการจ้างพัฒนา จะสูงกว่าโปรแกรมมาตรฐาน เพราะเป็นการทาให้เฉพาะราย ซึ่งไม่เกิดการเฉลี่ยของต้นทุนไปสู่รายอื่นๆได้
4. ต้องผูกติดอยู่กับองค์กรที่รับจ้างเขียน ไม่สามารถจ้างผู้อื่น ดูแลรักษาระบบ แทนได้
บทสรุปของการจ้างพัฒนา โปรแกรม ERP เอง
การจ้างพัฒนาโปรแกรม โดยองค์กรภายนอก จะได้รับความนิยมหรือเหมาะสม ก็ต่อเมื่อองค์กร ไม่มีทางเลือก ที่จะใช้โปรแกรมมาตรฐาน และเป็นระบบ ที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ที่บ่อยมาก เป็นระบบที่เฉพาะเจาะจง ไม่สามารถทาซ้า เพื่อใช้ในองค์กรอื่นได้ เพราะหากโปรแกรม ที่จ้างพัฒนาไปนั้น สามารถนาไปทาซ้า เพื่อขายให้กับองค์กรอื่นได้ ท้ายที่สุดแล้ว โปรแกรมนั้น จะกลายเป็นโปรแกรมมาตรฐาน ในที่สุดอยู่ดี
ข้อดีของโปรแกรมมาตรฐาน
1. สามารถเลือกระดับการลงทุนได้ ตั้งแต่ไม่กี่พันบาท ไปจนถึงหลายล้านบาท ตามความสามารถของโปรแกรม และความต้องการขององค์กร ทาให้องค์กร มีทางเลือกที่หลากหลาย และเลือกลงทุนได้อย่างเหมาะสม
2. หากเป็นโปรแกรม ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะมีการเพิ่มเติมความสามารถใหม่ๆ ตามการเปลี่ยนแปลง ของภาวะทางธุรกิจอยู่เสมอ
3. มีผู้ใช้งานหลากหลาย หากเป็นโปรแกรมที่อยู่ในตลาดมานาน มีลูกค้าเป็นจานวนมาก ก็จะลดความเสี่ยง กับการเจอ Bugของโปรแกรมขณะใช้งาน
4. สามารถชม และทดสอบความสามารถ ของโปรแกรม ก่อนการตัดสินใจซื้อ ทาให้เห็นภาพการทางาน ของโปรแกรม ที่ชัดเจนว่า เวลาใช้งานจริง ต้องทาอย่างไร ติดปัญหาอะไร
5. มีทางเลือกที่หลากหลาย สามารถเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด หรือเหมาะที่สุด สาหรับองค์กร สามารถสอบถาม Reference จากผู้ใช้องค์กรอื่น เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน
6. มีการบริการบารุงรักษา หรือบริการอื่นๆ จากผู้ขายหรือผู้ผลิตโปรแกรม ซึ่งอาจมีหรือไม่มี ค่าใช้จ่ายให้พิจารณาเรียกใช้ได้
7. มักติดตามเทคโนโลยีด้าน IT และนามาใช้ผนวก กับโปรแกรมมาตรฐาน เพราะถูกผลักดัน จากผู้ผลิต และผู้พัฒนา รายอื่นๆ
ข้อเสียของโปรแกรมมาตรฐาน
1. ผู้ใช้ต้องปรับการทางานให้เป็นไปตาม Flow หรือความสามารถของโปรแกรม ซึ่งรูปแบบการทางานบางอย่าง ขององค์กร อาจต้องเปลี่ยนแปลงไป และอาจมีผลกระทบ กับการทางาน ตามโครงสร้างองค์กรเดิม ซึ่งอาจเกิดการต่อต้าน จากพนักงาน ที่ยึดติดกับวิธีการทางานแบบเดิมๆ
2. ความสามารถบางอย่าง ของโปรแกรม อาจไม่ตรงกับความต้องการขององค์กร โปรแกรมมาตรฐานบางตัว โดยเฉพาะจากตัวแทนขาย ที่ไม่ได้สิทธิในการแก้ไข โปรแกรมหรือไม่มี Source Code และโปรแกรมราคาถูก มักไม่รับแก้ไขโปรแกรมให้ ซึ่งอาจทาให้การใช้โปรแกรม มีความยุ่งยาก หรืออาจใช้ไม่ได้ อย่างสมบูรณ์
3. การขอแก้ไขโปรแกรมมาตรฐาน ที่มากเกินไป มักได้รับการปฏิเสธจากผู้ขาย หรือหากรับที่จะแก้ไข ก็จะเสี่ยงกับการเจอ Bug ของทาให้โปรแกรมไม่มีเสถียรภาพ และประสบความยุ่งยากในการ Upgrade โปรแกรม ใน Version ถัดๆไปหากการแก้ไขนั้น กระทบกับโครงสร้างหลัก ของโปรแกรมมาตรฐาน
4. ก่อนการใช้งาน หากพิจารณาไม่รอบคอบพอ เมื่อซื้อมาแล้วพบว่า ความสามารถของโปรแกรม ไม่ตรงกับที่เข้าใจในตอนแรก หรือบางประเด็น อาจลืมพิจารณาลงไปในรายละเอียด เมื่อมาพบข้อจากัดในภายหลัง มักจะประสบกับความยุ่งยาก กับผู้ขายจนเกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท โดยเฉพาะหากชาระเงินไปหมดแล้วไม่สามารถคืนได้
5. โปรแกรมมาตรฐานบางตัว ที่เพิ่งทาเสร็จใหม่ๆ แต่รีบออกมาจาหน่าย ซึ่งไม่ได้รับการทดสอบมาเป็นอย่างดี เมื่อเวลานาไปใช้งานจริง กลับพบว่าผู้ใช้ ต้องกลายเป็น ผู้ทาการทดสอบโปรแกรมแทน หรือเป็น Bug Tester ให้ นอกจากจะทาให้เสียเวลา เสียเงิน และเสียกาลังคน ไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังทาให้เสียโอกาสทางธุรกิจ ไปอย่างน่าเสียดาย หากก่อนการซื้อ ไม่ได้ทดสอบโปรแกรมมาตรฐานนั้น ดีพอ
6. กรณีซื้อโปรแกรมมาตรฐานที่มีราคาแพง ที่ต้องมีการ Implement โปรแกรมด้วยค่าใช้จ่ายที่สูง และคิดค่าบริการเป็นรายวัน มักมีการแยกสัญญา ระหว่างค่าโปรแกรมมาตรฐานและค่า Implement และต้องจ่ายค่าโปรแกรมไปก่อน เมื่อตอนติดตั้ง ความเสี่ยง จึงตกกับผู้ซื้อ หาก Implement ไม่สาเร็จก็ไม่อาจเรียกร้องอะไรได้ ผู้ขายอาจเสนอให้ซื้อบริการ Implement เพิ่มเติมไปเรื่อยๆ แต่มักไม่ได้รับประกัน ว่าจะใช้ได้หรือไม่ หรือใช้ได้เมื่อไหร่ หากโครงการล้มเหลว ก็จะเกิดความเสียหาย กับผู้ซื้อในปริมาณการลงทุนที่สูงมาก
บทสรุปการใช้โปรแกรม ERP มาตรฐาน
ในการใช้ระบบ ERP หรือ ระบบ Accounting & Distribution ในยุคสมัยปัจจุบัน ไม่ควรเลือกวิธีการพัฒนาเอง หรือจ้างพัฒนา เพราะระบบ ERP เป็นระบบที่มีการพัฒนา มานานนับสิบปี และค่อนข้างมีความเป็นมาตรฐาน ที่ลงตัวแล้ว เป็นส่วนมาก อีกทั้งมีโปรแกรมมาตรฐาน และผู้จัดจาหน่ายให้เลือกพิจารณาเป็นจานวนมาก ในท้องตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ตั้งแต่ขนาดเล็กใช้งานบน PC Stand alone ธรรมดาๆไปจนถึงระบบบน Mini/Mainframe ขนาดใหญ่ องค์กร ควรเลือกใช้ระบบ ที่มีความสามารถ ที่เหมาะสม กับความต้องการ ด้วยงบประมาณการลงทุนที่คุ้มค่า ซึ่งวิธีการคัดเลือกระบบ ERP ที่เหมาะสมจะมีแนวทางอย่างไร ให้ประสบความสาเร็จจะได้กล่าวต่อไป
หากความต้องการขององค์กร ไม่มีโปรแกรมมาตรฐานตัวใดรองรับได้ ควรใช้วิธีพบกันครึ่งทาง คือพิจารณาดูว่า องค์กรสามารถปรับไปใช้ วิธีการของโปรแกรมได้หรือไม่ โดยเปรียบเทียบทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะวิธีการของโปรแกรมมาตรฐาน มักพบว่าเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับแล้ว โดยองค์กรส่วนใหญ่ หากพบว่าไม่สามารถใช้ได้ จึงควรใช้วิธีแก้ไข (Modify) โปรแกรมมาตรฐาน เป็นทางเลือกสุดท้าย
ที่มา http://www.pichayasolution.com
ที่มา http://www.fmsconsult.com/erp_software_02.php
ชุดทำงานของระบบERP
กระบวนการและข้อมูลต่างๆภายในระบบ ERP
กระบวนการในระบบ ERP ในแต่ละวงจร ของกระบวนการภายใน ERP ประกอบด้วยข้อมูลย่อยๆอีกหลายขั้นตอน การทำงานแต่ละกระบวนการอาศัยข้อมูลอิสระและข้อมูลเชื่อมโยงมาจากผลการทำงานของส่วนอื่น ภาพรวมของกระบวนการต่างๆในระบบ ERP สามารถอธิบายได้ดังนี้
1. วงจรการขาย (Sell Cycle)
1.1 การเสนอราคา (Quoting) ในการสร้างใบเสนอราคานั้น เราสามารถเรียกดูข้อมูลต่างๆ จากระบบได้ เช่นต้นทุนสินค้า ข้อมูลลูกค้า ทำการปรับเปลี่ยนรายละเอียดสินค้าได้ตามต้องการข้อมูลจะถูกเก็บบันทึกไว้เป็นประวัติเพื่อใช้ในการติดตามลูกค้าเมื่อลูกค้ายืนยันคำสั่งซื้อมาระบบจะแปลงข้อมูลการเสนอราคาเป็นคำสั่งขายได้ทันที
1.2 การสร้างคำสั่งขาย (Sales Order – SO) เริ่มจากลูกค้ามีความต้องการสั่งซื้อสินค้าฝ่ายขายจะตรวจสอบข้อมูลต่างๆ เช่น จำนวนสินค้าคงเหลือ จำนวนสินค้ากำลังผลิต จำนวนสินค้าที่ถูกจอง หรือข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า เช่น ประวัติการชำระเงิน เพื่อยืนยันว่า สามารถขายสินค้าให้กับลูกค้ารายนี้ได้หรือไม่ เมื่อมีการตกลงการซื้อขาย ฝ่ายขายจะเริ่ม สร้างคำสั่งขาย หากมีสินค้าอยู่ในคลังแล้วระบบจะเข้าไปจองปริมาณให้แต่ถ้าสินค้าไม่พอ ระบบจะใช้เป็นข้อมูลสำหรับการผลิตต่อไป
1.3 การจัดส่งสินค้า ข้อมูลคำสั่งขายถูกนำมาใช้เป็นข้อมูลการจัดส่งอัตโนมัติเจ้าหน้าที่จัดส่งสามารถทราบว่าจะต้องเตรียมสินค้าอะไรบ้าง และไปหยิบสินค้าจากพื้นที่เก็บได้ และพร้อมพิมพ์เอกสาร เช่น ใบกำกับสินค้า ใบแจ้งหนี้ได้ทันทีข้อมูลสินค้าคงคลังจะถูกเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกันระบบบัญชีก็จะมีข้อมูลสำหรับการตั้งลูกหนี้อัตโนมัติ
2. วงจรการวางแผน (Plan Cycle) การวางแผนในระบบ ERP นั้นเป็นส่วนสำคัญมากข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็น จากหลายๆ ฝ่ายจะถูกรวบรวมมาไว้พร้อมสรรพ สำหรับการคำนวณ เช่น ข้อมูลสถานะของสินค้าคงคลัง ข้อมูลสูตรการผลิต (Bill Of Material – BOM) ข้อมูลศูนย์งานหรือสถานีงาน ข้อมูลเส้นทางการผลิต และข้อมูลนโยบายการสั่งซื้อและการสั่งซื้อ เป็นต้น การวางแผนในระบบ ERP มีสองส่วนคือ การวางแผนวัสดุ และการวางแผนกำลังการผลิต
2.1 การวางแผนวัสดุ (Material Planning) คือการวางแผนผลิตสินค้าสำเร็จรูป สินค้ากึ่งสำเร็จรูปและวางแผนการสั่งซื้อวัตถุดิบ เพื่อให้สามารถตอบสนองลูกค้า และรักษาปริมาณวัสดุไว้ในระดับที่ต้องการได้กระบวนการวางแผนวัสดุเริ่มตั้งแต่การสร้างแผนผลิตหลัก (Master Production Schedule – MPS) ของสินค้าสำเร็จรูป ข้อมูลของแผนผลิตหลักถูกส่งไปยังการวางแผนความต้องการวัสดุ (Material Requirements Planning -MRP) เพื่อเสนอแนะเกี่ยวกับการสั่งวัสดุเพิ่ม
2.2 การวางแผนกำลังการผลิต (Capacity Planning) คือการหาความต้องการกำลังการผลิตของทรัพยากร เช่น คนและเครื่องจักรเพื่อให้สอดคล้องตามแผนวัสดุระบบ ERP แบ่งการวางแผนกำลังการผลิต เป็น 2 แบบคือ 1) การวางแผนกำลังแบบหยาบ (Rough-cut Capacity Planning : RCCP) สำหรับเปรียบเทียบกำลังการผลิตที่ต้องการจากแผนการผลิตหลักกับทรัพยากรหลักๆ ทุกประเภท 2) การวางแผนความต้องการกำลังการผลิต(Capacity Requirements Planning: CRP) สำหรับเปรียบเทียบกำลังการผลิตที่ต้องการกับแผนความต้องการวัสดุกับทรัพยากรโดยละเอียด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการวางแผน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือแผนผลิต และแผนสั่งซื้อเพื่อส่งให้ฝ่ายอื่นๆต่อไป
3. วงจรการสั่งซื้อ (Buy Cycle)
3.1 การแปลงแผนสั่งซื้อเป็นคำสั่งซื้อ จากการ Run MRP ระบบจะแนะนำแผนการสั่งซื้อ ให้ผู้ใช้ตรวจสอบรายละเอียดของแผน เช่น Supplier วัตถุดิบ ปริมาณและราคา เมื่อผ่านการตรวจสอบแล้วสามารถทำการแปลงแผนสั่งซื้อเป็นคำสั่งซื้อได้อัตโนมัติ
3.2 การสร้างคำสั่งซื้อตามการร้องขอจากผู้ขอซื้อ เมื่อผู้ขอซื้อบันทึกข้อมูลวัตถุดิบที่ต้องการซื้อลงใบขอซื้อ (Purchase Requisition) ระบบก็จะตรวจสอบความถูกต้องต่างๆ เช่น ราคาสินค้า ผู้ขายตามบัญชีรายชื่อเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลจะถูกส่งต่อไปให้กับผู้มีอำนาจต่างๆ ตรวจสอบและอนุมัติจากนั้นผู้ซื้อจึงสามารถออกคำสั่งสั่งซื้อ (Purchase Order – PO) ได้
3.3 การรับวัตถุดิบและการตรวจสอบคุณภาพ เมื่อ Supplier มาส่งวัตถุดิบพร้อมกับเอกสารใบกำกับสินค้า/ใบแจงหนี้ (Invoice) ระบบจะทำการปรับปรุงปริมาณสินค้าคงคลังและบันทึกผลการรับวัตถุดิบ เราสามารถกำหนดว่าวัตถุดิบชนิดใดต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพบ้างข้อมูลการรับสินค้าจะถูกส่งไปที่ฝ่ายบัญชีเพื่อเตือนเจ้าหน้าที่อัตโนมัติ
4. วงจรสินค้าคงคลัง (Inventory Cycle)
การควบคุมสินค้าคงคลังมีความสัมพันธ์ กับทุกกระบวนการในระบบ ERP สินค้าคงคลังประกอบด้วยวัตถุดิบ สินค้ากึ่งสำเร็จรูป สินค้าสำเร็จรูป ชิ้นส่วนสำรอง และอื่นๆการควบคุมสินคาคงคลังที่มีประสิทธิภาพทำให้ข้อมูลสินค้าคงคลังในระบบ ERP มีความถูกต้อง ส่งผลให้สามารถใช้งานระบบ ERP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมในการควบคุมสินค้าคงคลังประกอบด้วย การรับวัสดุการตัดจ่ายวัสดุและการปรับปรุงปริมาณวัสดุในคลังสินค้า การเคลื่อนไหวของสินค้าคงคลังจะส่งผลกับยอดสินค้าคงเหลืออยู่ตลอดเวลา ในระบบ ERP ยังมีการนับสินค้าคงคลังแบบ Physical Count และ Cycle Count เพื่อทำให้ข้อมูลในสินค้าคงคลังที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ตรงตามจริง ในระบบ ERP เราสามรถ เลือกกำหนดระดับการควบคุมสินค้าคงคลังได้หลายระดับขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เช่น การกำหนด Lot Serial-Number และ Location ของวัสดุแต่ละรหัสได้ ในการรับหรือตัดจ่ายวัสดุต้องมีการอ้างอิงอยู่ตลอดเวลา เช่น การรับวัตถุดิบ จะอ้างอิงกับหมายเลขคำสั่งซื้อ การเบิกวัตถุดิบเพื่อไปผลิต จะอ้างอิงกับหมายเลขคำสั่งผลิต การส่งสินค้าจะอ้างอิงกับหมายเลขคำสั่งขาย ทั้งนี้เพื่อให้เรามีความสามารถสอบกลับสินค้าได้
5. วงจรการผลิต
5.1 การสร้างคำสั่งผลิต (Work Order – WO) คำสั่งผลิตหรือใบงานในระบบ ERP สร้างขึ้นได้จากหลายทาง เช่น การแปลงแผนคำสั่งผลิตที่ได้จากการ RUN MRP เป็นคำสั่งผลิตหรือการแปลงคำสั่งขายเป็นคำสั่งผลิตโดยตรง หรือการสร้างคำสั่งผลิตขึ้นมาเอง ซึ่งคำสั่งผลิตใช้เป็นตัวควบคุมการผลิตทั้งหมด
5.2 การดำเนินงานและควบคุมการผลิต คือการนำคำสั่งผลิตไปปฏิบัติงานจริง ทำการเปรียบเทียบปริมาณงานกับกำลังการผลิตของแต่ละสถานีงาน การจัดลำดับ (Priority) ของงานที่อยู่ในแถวคอยการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพของสินค้าที่ผลิต
5.3 การเบิกวัสดุ การเบิกวัสดุในระบบ ERP สามารถทำได้หลายวิธีทั้งการเบิกวัสดุทีละรายการการเบิกวัสดุอ้างอิงกับสูตรการผลิตและการเบิกวัสดุแบบ Backflush ในการเบิกวัสดุจะมีการอ้างอิงกับหมายเลขคำสั่งผลิตเพื่อใช้ในการคิดต้นทุน
5.4 การรายงานผลการผลิต การรายงานผลการผลิตในระบบ ERP ได้แก่การรายงานปริมาณการผลิตสินค้า ผลการตรวจสอบคุณภาพ ชั่วโมงแรงงานหรือชั่วโมงเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตของแต่ละคำสั่งการผลิตการรายงานผลการผลิตทำให้เราทราบสถานะของคำสั่งผลิต และให้ข้อมูลที่เราใช้ในการคิดต้นทุน เมื่อผลิตสินค้าเรียบร้อยแล้วข้อมูลจะถูกส่งไปให้ฝ่ายบัญชีเพื่อใช้ในการสรุปต้นทุน
6. วงจรบัญชี (Accounting Cycle)
กระบวนการด้านบัญชีและการเงินของระบบ ERP จะบันทึกรายการทางบัญชีจากกิจกรรมต่างๆโดยอัตโนมัติสอดคลองซึ่งกันกับระบบบัญชีรูปแบบ คือ ทำรายการลงบัญชีในสมุดรายการซื้อ ขาย จ่าย รับ และทั่วไป ประกอบด้วยกระบวนการ 3 ส่วน คือ ระบบบัญชีลูกหนี้ระบบบัญชีเจ้าหนี และระบบบัญชีแยกประเภท โดยรายละเอียดดังนี้
6.1 ระบบบัญชีลูกหนี้ (Accounts Receivable) บัญชีลูกหนี้เริ่มจากการสร้างใบแจ้งหนี้ (Invoice) โดยระบบจะบันทึกรายการบัญชีตั้งลูกหนี้และภาษีขายจากนั้นเมื่อลูกค้ามาจ่ายเงินตามรายการวางบิล ฝ่ายการเงินจะทำการรับเงิน และส่งเอกสารการรับชำระเงินให้ฝ่ายบันทึกรายการรับชำระหนี้และตัดรายการบัญชีลูกหนี้ได้
6.2 ระบบบัญชีเจ้าหนี้ (Accounts Payable) บัญชีเจ้าหนี้เริ่มตั้งแต่ฝ่ายบัญชีได้รับเอกสารใบแจ้งหนีของซัพพลายเอ่อร์อ้างอิงจากการรับสินค้าของฝ่าคลังสินค้าตามใบสั่งซื้อ แล้วทำรายการ Voucher เพื่อตั้งยอดเจ้าหนี้จากนั้นรายการ Voucher จะเข้าสู่การอนุมัติจ่ายเงินเพื่อทำการเตรียมจะจ่ายเงิน (Pre-Payment) และพิมพ์เอกสารอนุมัติเตรียมจ่ายเงินต่อไปเมื่อทำการจ่ายเงินให้เจ้าหนี้แล้ว เอกสารการจ่ายเงินจะถูกส่งให้ฝ่ายบัญชีบันทึกรายการชำระหนี้ (Payment Voucher) ตัดรายการเจ้าหนี้ และบันทึกภาษีหัก ณ ที่จ่ายถ้ามีได้
6.3 ระบบบัญชีแยกประเภท (General Ledger Accounts) ระบบบัญชีแยกประเภทจะเป็นจุดรวบรวมรายละเอียดข้อมูลรายการทางบัญชีที่เกิดขึ้นเพื่อทำการจัดหมวดหมู่รายการทางบัญชีและสรุปรายงานงบการเงินต่างๆได้ ระบบบัญชีแยกประเภทเริ่มจากการสร้างผังบัญชีของบริษัท เพื่อให้ระบบลงบัญชีได้โดยอัตโนมัติ เช่น รายการลูกหนี้และเจ้าหนี้รายการรับและจ่ายเงิน รายการต้นทุนและสินค้าคงคลัง เป็นต้น จากนั้นส่งผ่านรายการเข้าระบบบัญชีแยกประเภท เพื่อกระทบกับยอดยกมาและรายการบัญชีในงวดปัจจุบัน สรุปเป็นยอดยกไป เพื่อตั้งเป็นต้นงวดในงวดถัดไป ในกรณีที่มีรายการปรับปรุงสามารถบันทึกผ่าน Journal Entry แล้วส่งเข้าระบบบัญชีแยกประเภทได้เช่นกัน เมื่อผ่านรายการเข้าระบบบัญชีแยกประเภทแล้ว ผู้ใช้สามารถทำการตรวจสอบความถูกต้องในการบันทึกรายการจากงบทดลอง และปิดงวดบัญชีเพื่อสรุปรายงานทางการเงินต่างๆ เช่น งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด ฯลฯ นอกจากนี้ระบบยังสอบกลับข้อมูลต้นทางเมื่อพบข้อมูลผิดพลาดพลาดจากการบันทึกรายได้
ระบบบัญชีการเงินเป็นส่วนที่ช่วยจัดเก็บข้อมูลในการปฏิบัติงานของทุกส่วนงาน เพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ 2 เรื่อง คือ
– ใช้เป็นข้อมูลสำหรับกระบวนการจัดการภายในองค์กร เช่น การนำข้อมูลต้นทุนการผลิตมาใช้ ประกอบการตัดสินใจเรื่องราคาขายและการวัดผลการปฏิบัติงานในกระบวนการผลิต การสรุปรายงานการเงินต่างๆ และตัววัดผลการปฏิบัติงานในมุมมองด้านการเงิน สำหรับผู้บริหารได้อย่างถูกต้องแม่นยำและทันต่อเวลาที่ต้องการได้
– ใช้เป็นข้อมูลแสดงต่อบุคคลภายนอก เช่น การออกรายงานทางการเงิน เช่นรายการภาษีซื้อ ภาษีขาย ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และงบการเงิน เพื่อรายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสรรพากร หรือบุคคลภายนอกทั่วไป ฯลฯ
ข้อมูลต่างๆในระบบ ERP
ระบบ ERP สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนและจัดการทรัพยากรองค์กรได้โดยใช้ประโยชน์จากระบบข้อมูลที่บูรณาการกันภายในองค์กร จากกระบวนการต่างๆ ภายในระบบ ERP จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด ดังนั้นจึงเกิดการพึ่งพากันอย่างอัตโนมัติ นั่นหมายความว่า จะไม่มีข้อมูลที่ซ้ำซ้อนกัน หรือมีข้อมูลชุดเดียวที่ใช้งานร่วมกันนั่นเอง ข้อมูลในระบบ ERP แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. ข้อมูลคงที่ (Static Data) คือข้อมูลที่มักจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงและกำหนดไว้เพื่อเป็นข้อมูลเริ่มต้นในระบบ เช่น ข้อมูลรายการสินค้า (Item Master) ข้อมูลสูตรการผลิต (Bill of Material) ข้อมูลลูกค้า (Customer) ข้อมูลผู้ขาย (Vendor หรือ Supplier) ฯลฯ เมื่อจัดเก็บเป็นกลุ่มเป็นแฟ้มในคอมพิวเตอร์ ก็อาจเรียกว่า Master File แต่ในระบบฐานข้อมูลปัจจุบันที่เป็น Relational Database จะหมายถึงข้อมูลที่เป็น Master Table ต่างๆ เช่น Item Master Table, Work Center Table
2. ข้อมูลพลวัต (Dynamic Data) คือข้อมูลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานประจำวันที่มีการเคลื่อนไหว และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามธุรกรรม (Transaction) ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานประจำวันและถูกบันทึกเข้าระบบเพื่อให้ประมวลผลอย่างต่อเนื่อง เช่น คำสั่งซื้อสินค้าแต่ละคำสั่งเป็นข้อมูลพลวัตเพราะจำนวนรายการสินค้า, จำนวนที่สั่งซื้อ, ราคา, ผู้ขายหรือซัพพลายเออร์ สำหรับการซื้อแต่ละครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ในระบบ ERP ข้อมูลพื้นฐานที่สุดสำหรับธุรกิจที่มีการผลิต ที่จะต้องเตรียมและนำเข้าสู่ระบบมีอยู่ 6 ประเภทตามวงจรการทำงานแต่ละประเภท ทั้งข้อมูลคงที่และข้อมูลพลวัต ซึ่งต้องใช่ร่วมกันจึงจะสามารถบันทึกความสมบูรณ์ของธุรกรรมได้ การเตรียมข้อมูลในวงจรการทำงานในระบบ ERP ทั้ง 6 ประเภทเรียงตามลำดับก่อนหลังที่ควรเตรียม มีดังนี้
1. ข้อมูลของวงจรบัญชี (Accounting Cycle)
ข้อมูลคงที่ ได้แก่
– ผังบัญชี (Chart of Account) ประกอบด้วยกลุ่ม (Group) กลุ่มย่อย (Subgroup) จนถึงรหัสบัญชีเป็นข้อมูลที่จำเป็นสำหรับเตรียม Master Table อื่นๆ ที่ตามมา เช่น รหัสสินค้า รหัสผู้ขายและรหัสลูกค้า เพราะฐานข้อมูลพวกนี้ต้องผูกความสัมพันธ์กับผังและรหัสบัญชีเพื่ออ้างอิงรายการบันทึกบัญชี
ข้อมูลพลวัต ได้แก่
– Period เป็นรอบระยะเวลาในทางบัญชีที่ใช้บันทึกบัญชี, Budget เป็นระบบงบประมาณที่ใช้เปรียบเทียบจำนวนเงินที่เกิดขึ้นจริง
– JE (Journal Entry) เป็น Transaction การบันทึกรายการเดบิตเครดิตเข้าสู่ระบบการบัญชี
– Recurring Journal Entry เป็น Transaction ที่เกิดขึ้นประจำ
– Cash Receipt เป็นรายการรับเงินจากลูกค้า
– Payment เป็นรายการจ่ายเงินให้เจ้าหนี้
– Bank Reconcile เป็นรายการกระทบยอดเงินฝากระหว่างธนาคารกับเจ้าของกิจการ
2. ข้อมูลของวงจรสินค้าคงคลัง (Inventory Cycle)
ข้อมลคงที่ ได้แก่
– ฐานข้อมูลรายการสินค้า ประกอบด้วย รหัสสินค้า กลุ่มสินค้า ข้อมูลการจัดเก็บ การวางแผน หน่วยจัดเก็บ ราคาต้นทุนต่อหน่วย ตลอดจนรูปภาพและหน่วยแปลงจากการซื้อและขาย (Conversion Factors) เช่น ซื้อเป็นโหล แต่เก็บเป็นชิ้น ข้อมูลระบุสถานที่จัดเก็บหรือคลังสินค้า ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่จัดเก็บต่างๆ และข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างคลังสินค้ากับรหัสสินค้า เพื่อให้สามารถระบุตำแหน่งได้ว่า รหัสสินค้ารายการดังกล่าวจัดเก็บที่ใด
ข้อมูลพลวัต ได้แก่
– ธุรกรรมสินค้าคงลัง หรือ Inventory Transaction เกิดขึ้นในกระบวนการรับวัตถุดิบเข้าคลังจ่ายวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิตการรับ (Work in process – WIP) การรับสินค้าคงคลังจากการผลิต การตัดยอดสินค้าจากการขาย การรับคืนสินค้าจากลูกค้า และการโอนสินค้าไปมาซึ่งระบบสินค้าคงคลังควรรักษาให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นสู่กระบวนการอื่น เช่น การวางแผน การจัดซื้อ และการบัญชี
3. ข้อมูลของวงจรการขาย (Sell Cycle)
ข้อมูลคงที่ได้แก่
– ฐานข้อมูลลูกค้า ประกอบด้วยชื่อบริษัท/ห้างร้าน ที่อยู่สถานที่เรียกเก็บเงิน (ตามเอกสาร ภพ.20 ที่ได้จดทะเบียนการค้ากับหน่วยงานราชการ) สถานที่จัดส่ง ซึ่งลูกค้าบางรายมีสถานที่จัดส่งมากกว่า 1 แห่ง เงื่อนไขการชำระเงิน สกุลเงินที่ใช้ซื้อขาย รหัสบัญชีลูกหนี้ข้อมูลพนักงานขายเป็นต้น
– ฐานข้อมูลราคาขายสินค้า คือฐานข้อมูลที่บริษัทขายให้แก่ลูกค้าแต่ละรายสินค้าตัวเดียวกัน อาจกำหนดให้ มีราคาขายแตกต่างกันได้ในแต่ละลูกค้าหรือกลุ่มลูกค้า โดยอาจกำหนดเป็นราคาสุทธิ ส่วนลดเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือ Mark up ราคาขายจากต้นทุนการผลิต
ข้อมูลพลวัต ได้แก่
– การเสนอราคา (Quoting) เป็น Transaction ของข้อมูลที่เกิดจากฝ่ายขายทำการเสนอราคาให้กับลูกค้า ประกอบด้วย รหัสลูกค้าที่จำการเสนอราคา วันที่ต้องการ รหัสสินค้าที่นำเสนอราคา/ส่วนลด ฯลฯ
– คำสั่งขาย (Sales Order – SO) เป็นการยืนยันคำสั่งซื้อเมื่อลูกค้าเปิด Purchase Order ให้กับเราแล้ว ได้จากการป้อนข้อมูลคำสั่งขายเข้าไป หรือแปลงใบเสนอราคา มาเป็น Sales Order
– Shipment หลังจากมีการยืนยันการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า ระบบ ERP จะตัดสินค้าคงคลังออกจากยอดสต็อก (Stock) และบันทึกรายการ Shipment Log เพื่อเป็นประวัติการจัดส่ง
– Invoice หลังจาก Shipment ระบบจะออกใบกำกับภาษีหรือ Tax Invoice ส่งให้กับลูกค้าและเชื่อมข้อมูลไปยังระบบบัญชีลูกหนี้ของ ERP
4. ข้อมูลของวงจรการจัดซื้อ (Buy Cycle)
ข้อมูลคงที่ได้แก่
– ฐานข้อมูลผู้ขายหรือซัพพลายเออร์ ทั้งซัพพลายเออร์ที่ขายวัตถุดิบและซัพพลายเออร์ในกรณีที่เป็นค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองอื่นๆ เช่น อุปกรณ์สำนักงาน ค่าจ้างทำ ค่าขนส่ง เป็นต้น ซึ่งข้อมูลที่สำคัญประกอบด้วย ชื่อบริษัท/ห้างร้าน ที่อยู่สถานที่ตามเอกสารใบกำกับภาษี (ตามเอกสาร ภพ.20 ที่ได้จดทะเบียนการค้ากับหน่วยงานราชการ) สถานที่จ่ายเงิน เงื่อนไขการชำระเงิน สกุลเงินที่ใช้ซื้อขาย รหัสบัญชีเจ้าหนี้และกรณีที่ซัพพลายเออร์เจ้าใดอยู่ใน (Approve Vendor List – AVL) ต้องผูกความสัมพันธ์เข้าไปด้วย
– ฐานข้อมูลบัญชีวัตถุดิบ วัตถุดิบจากซัพพลายเออร์คนละราย อาจจะมีราคาและคุณลักษณะที่แตกต่างกัน
ข้อมูลพลวัตได้แก่
– ใบขอซื้อหรือใบขอจัดซื้อ (Purchase Requisition) คือกระบวนการแจ้งความต้องการซื้อวัตถุดิบ อุปกรณ์ ฯลฯ และส่งให้ผู้อนุมัติตามลำดับขั้นตอน จนสุดท้ายกลายเป็นคำสั่งซื้อต่อไป ซึ่งประกอบด้วยรายการวัตถุดิบที่ต้องการ / ข้อมูลการสืบราคาขายจากผู้ขาย / วันที่ต้องการ / วงเงินที่ต้องการขออนุมัติ เป็นต้น
– ใบสั่งซื้อ (Purchase Order) เมื่อผู้อนุมัติอนุมัติแผนการสั่งซื้อหรือใบขอซื้อเจ้าหน้าที่จัดซื้อจะทำการบันทึกคำสั่งซื้อไปยังซัพพลายเออร์เพื่อสั่งสินค้า ประกอบด้วย ข้อมูลซัพพลายเออร์รหัส / ชื่อ / ที่อยู่ / เงื่อนไขการชำระเงิน (Payment Term) / รหัสสินค้าที่จะซื้อ / ราคา / วันที่ต้องการ / ปริมาณที่ต้องการ / หน่วยซื้อ- หน่วยจัดส่ง เป็นต้น
– การรับวัตถุดิบจากการสั่งซื้อ คือ Inventory Transaction ทำการรับโดยอ้างอิงข้อมูลการสั่งซื้อเป็นสำคัญ ประกอบด้วยเลขที่ใบสั่งซื้อ / รหัสวัตถุดิบที่รับ / ปริมาณที่รับ หากมีการตรวจสอบคุณภาพ ต้องระบุปริมาณของดีของเสียด้วย
– Supplier Invoice คือ Transaction ที่เกิดจากการคีย์ข้อมูล Invoice ของ Supplier เข้าสู่ระบบ ERP เพื่อตั้งหนี้ทำการจ่ายเงิน ประกอบด้วยเลขที่ Invoice / ชื่อซัพพลายเออร์ / ที่อยู่ / ปริมาณเงินที่ต้องชำระ / ภาษีฯลฯ
5. ข้อมูลของวงจรการวางแผน (Plan Cycle)
ข้อมูลคงที่ ได้แก่
– รายการวัสดุหรือโครงสร้างผลิตภัณฑ์ (Bill of Material – BOM) โครงสร้างผลิตภัณฑ์ หรือสูตรการผลิตจะแสดงรายการของส่วนประกอบที่เป็นชิ้นส่วน ระหว่างการผลิต และวัตถุดิบทั้งหมด ซึ่งนำเข้ามาประกอบเป็นสินค้าตัวแม่ และสูตรการผลิตนี้จะถูกใช้รวมกับแผนการผลิตหลัก (Master Production Schedule) เพื่อตัดสินใจว่าชิ้นส่วนใดบ้าง ที่สมควรจะออกใบสั่งซื้อหรือใบสั่งผลิต เพื่อทำการสั่งซื้อหรือสั่งผลิตโดยปกติโครงการส่วนใหญ่จะใช้เวลาในการเตรียมและตรวจสอบความถูกต้องของ BOM อยู่นาน และ BOM แต่ละอันควรมี โดยที่เวลาสร้าง BOM จะทำการเตรียมแบบที่มีรายการวัสดุเพียงระดับเดียว (Single-level BOM) ก่อน เพื่อประโยชน์ในการวางแผน มีการประยุกต์ใช้ BOM ประเภท Planning Bill หรือ Transient Bill of Material ซึ่งเป็น BOM ที่มีเวลานำ (lead time) เป็นศูนย์ซึ่งผู้ที่เตรียมข้อมูลต้องมีความเข้าใจในการใช้กลไกนี้ไปใช้ประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งหาต้นทุนของผลิตภัณฑ์ด้วย
– พารามเตอร์ที่ใช้ในการวางแผน เช่น
o Lead Time หรือเวลานำ ที่ใช้ในการผลิตหรือจัดซื้อ
o Safety Stock หรือสต็อกเผื่อขาด
o Shop Calendar ปฏิทินการทำงานที่กำหนดขึ้นเพื่อนำมาใช้ในการวางแผน
o MRP Planning Parameter คือพารามิเตอร์ที่ต้อง Set เข้าไป สำหรับการรัน MRP เช่น Planning Horizon, Planning Time Fence ฯลฯ
o Order Policy นโยบายในการสั่งซื้อแบบ Discrete, Min/ Max/ Mult, Period
Order Quantity และ Fixed Order Quantity เป็นต้น
ข้อมูลพลวัต ได้แก่
– ECR / ECN Transaction – คือธุรกรรมที่เกิดขึ้นควบคุม และเก็บข้อมูลการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับข้อมูล Static Data ขององค์กรที่เกิดขึ้น เช่น กรณีฝ่ายผลิตมีการเปลี่ยนแปลง BOM สินค้าเนื่องจากสาเหตุของวัสดุที่นำไปทำการผลิตไม่ตรงตามข้อกำหนดในการผลิต จึงเกิดกระบวนการร้องขอเปลี่ยนแปลง BOM โดยการออกเอกสาร ECR (Engineering Change Request) ให้ผู้มีอำนาจอนุมัติและเมื่อทำการแก้ไขปรับเปลี่ยนตามคำขอในระบบแล้วจึงออกเป็นเอกสาร ECN (Engineering Change Notice) เพื่อประกาศให้ผู้เกี่ยวข้องรับทราบทั่วกันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
– Master Production Schedule คือข้อมูลการผลิตหลักที่ต้องป้อนเข้าสู่ระบบ
– Sales Forecast คือข้อมูลคำพยากรณ์การขายและการผลิต ได้มาจากการคำนวณ โดยใช้เทคนิคการพยากรณ์ต่างๆ หรือจากประสบการณ์ของผู้วางแผน
– แผนการผลิต เมื่อคำนวณ MRP แล้วระบบจะสร้างแผนการผลิตมาให้ตามความต้องการ
ที่เกิดขึ้น เพื่อแปลงไปเป็นคำสั่งผลิต
– แผนการจัดซื้อ หลังจากคำนวณ MRP ระบบจะสร้างแผนการจัดซื้อให้อัตโนมัติและแผนดังกล่าวจะถูกส่งไปยังเจ้าหน้าที่ Buyer เพื่อ Convert รายการดังกล่าวไปเป็นคำสั่งซื้อ
6. ข้อมูลของวงจรการผลิต (Make Cycle)
ข้อมูลคงที่ได้แก่
– ศูนย์ผลิตหรือศูนย์งาน (Work Center) หมายถึงสถานีงานที่ใช้ทำการผลิตขั้นตอนหนึ่งหรือหลายขั้นตอน ซึ่งศูนย์งานอาจจะเป็นคนหนึ่งคนหรือมากกว่า หรือจะเป็นเครื่องจักรก็ได้ ที่สามารถจะถือว่า เป็นหน่วยผลิตหน่วยเดียวกันได้ และต้องกำหนดขึ้นในระบบ ERP เพื่อวัตถุประสงค์ในการวางแผนความต้องการกำลังผลิต (Capacity Requirements Planning) และการจัดกำหนดการของงานอย่างละเอียด (Detail Scheduling) โดยการนิยามศูนย์งานควรทำอย่างระมัดระวังเพื่อว่า ผลจาก CRP จะให้ประโยชน์ในการวางแผนกำลังการผลิตได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเพิ่มขึ้น
– เส้นทางการผลิต (Routing) เป็นข้อมูลที่ต้องเตรียมเพื่อแสดงขั้นตอนต่างๆ ในการผลิตสินค้าสำเร็จรูป และกึ่งสำเร็จรูป ผ่านไปตามศูนย์งานต่างๆ ในเวลาที่ผลิต (Shop Floor) อย่างละเอียด และในบางระบบจะมีข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนต่างๆ ที่ต้องปฏิบัติลำดับขั้นตอนศูนย์งานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานต่างๆ ในการตั้งเครื่องและผลิต ในทางบริษัท เส้นทางการผลิตรวม ทั้งข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องไม้เครื่องมือระดับทักษะที่ต้องการของผู้ผลิตได้ความต้องการในการทดสอบและอื่นๆ ด้วย และในบริษัทที่ผลิต
สินค้าบางประเภท ที่มีความซับซ้อนมาก อาจะต้องใช้ซอฟต์แวร์ประเภท Manufacturing Execution System มาเชื่อมกับระบบ ERP เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
– ข้อมูลกำลังการผลิต ฝ่ายผลิตต้องกำหนดลงไปว่ากำลังการผลิตของแต่ละ Work Center เท่ากับเท่าไหร่วันไหนทำงาน วันไหนหยุด วันที่ทำงานทำวันละกี่ชั่วโมง กี่กะ รวมถึงค่า Efficiency และ Utilization ด้วย
– ข้อมูลการบำรุงรักษาเครื่องจักร โดยฝ่ายผลิตจะต้องระบุว่าเครื่องจักร หรือ Work Center ใด จะต้องหยุดวันไหนบ้าง เพื่อทำการซ่อมบำรุง
– ข้อมูลประสิทธิภาพการผลิต เช่น %Yield, %Scarp ฯลฯ ที่เกิดขึ้นระหว่างการผลิต
ข้อมูลพลวัต ได้แก่
– ใบสั่งผลิต (Work Order – WO) หรือใบงาน (Job Order) คือการสร้างข้อมูลการสั่งผลิตโดยระบุว่าต้องผลิตสินค้ารายไหน วันที่เท่าไหร่ เป็นปริมาณเท่ากับเท่าไหร่
– กระบวนการเบิกวัตถุดิบ (Issue) คือกระบวนการตัดเบิกวัตถุดิบ อ้างอิงตามเอกสารการเบิกวัตถุดิบ (Picking List)
– Transaction การรายงานผลการผลิต ใช้สำหรับติดตามสถานะของคำสั่งการผลิตเมื่อการผลิตเกิดขึ้นแล้ว แต่ละศูนย์งานจะรายงานความคืบหน้ามาสู่ ERP
ที่มา course.eau.ac.th/course/Download/0240814/erpdata.doc
ชุดทำงานของระบบERP
กระบวนการและข้อมูลต่างๆภายในระบบ ERP
กระบวนการในระบบ ERP ในแต่ละวงจร ของกระบวนการภายใน ERP ประกอบด้วยข้อมูลย่อยๆอีกหลายขั้นตอน การทำงานแต่ละกระบวนการอาศัยข้อมูลอิสระและข้อมูลเชื่อมโยงมาจากผลการทำงานของส่วนอื่น ภาพรวมของกระบวนการต่างๆในระบบ ERP สามารถอธิบายได้ดังนี้
1. วงจรการขาย (Sell Cycle)
1.1 การเสนอราคา (Quoting) ในการสร้างใบเสนอราคานั้น เราสามารถเรียกดูข้อมูลต่างๆ จากระบบได้ เช่นต้นทุนสินค้า ข้อมูลลูกค้า ทำการปรับเปลี่ยนรายละเอียดสินค้าได้ตามต้องการข้อมูลจะถูกเก็บบันทึกไว้เป็นประวัติเพื่อใช้ในการติดตามลูกค้าเมื่อลูกค้ายืนยันคำสั่งซื้อมาระบบจะแปลงข้อมูลการเสนอราคาเป็นคำสั่งขายได้ทันที
1.2 การสร้างคำสั่งขาย (Sales Order – SO) เริ่มจากลูกค้ามีความต้องการสั่งซื้อสินค้าฝ่ายขายจะตรวจสอบข้อมูลต่างๆ เช่น จำนวนสินค้าคงเหลือ จำนวนสินค้ากำลังผลิต จำนวนสินค้าที่ถูกจอง หรือข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า เช่น ประวัติการชำระเงิน เพื่อยืนยันว่า สามารถขายสินค้าให้กับลูกค้ารายนี้ได้หรือไม่ เมื่อมีการตกลงการซื้อขาย ฝ่ายขายจะเริ่ม สร้างคำสั่งขาย หากมีสินค้าอยู่ในคลังแล้วระบบจะเข้าไปจองปริมาณให้แต่ถ้าสินค้าไม่พอ ระบบจะใช้เป็นข้อมูลสำหรับการผลิตต่อไป
1.3 การจัดส่งสินค้า ข้อมูลคำสั่งขายถูกนำมาใช้เป็นข้อมูลการจัดส่งอัตโนมัติเจ้าหน้าที่จัดส่งสามารถทราบว่าจะต้องเตรียมสินค้าอะไรบ้าง และไปหยิบสินค้าจากพื้นที่เก็บได้ และพร้อมพิมพ์เอกสาร เช่น ใบกำกับสินค้า ใบแจ้งหนี้ได้ทันทีข้อมูลสินค้าคงคลังจะถูกเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกันระบบบัญชีก็จะมีข้อมูลสำหรับการตั้งลูกหนี้อัตโนมัติ
2. วงจรการวางแผน (Plan Cycle) การวางแผนในระบบ ERP นั้นเป็นส่วนสำคัญมากข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็น จากหลายๆ ฝ่ายจะถูกรวบรวมมาไว้พร้อมสรรพ สำหรับการคำนวณ เช่น ข้อมูลสถานะของสินค้าคงคลัง ข้อมูลสูตรการผลิต (Bill Of Material – BOM) ข้อมูลศูนย์งานหรือสถานีงาน ข้อมูลเส้นทางการผลิต และข้อมูลนโยบายการสั่งซื้อและการสั่งซื้อ เป็นต้น การวางแผนในระบบ ERP มีสองส่วนคือ การวางแผนวัสดุ และการวางแผนกำลังการผลิต
2.1 การวางแผนวัสดุ (Material Planning) คือการวางแผนผลิตสินค้าสำเร็จรูป สินค้ากึ่งสำเร็จรูปและวางแผนการสั่งซื้อวัตถุดิบ เพื่อให้สามารถตอบสนองลูกค้า และรักษาปริมาณวัสดุไว้ในระดับที่ต้องการได้กระบวนการวางแผนวัสดุเริ่มตั้งแต่การสร้างแผนผลิตหลัก (Master Production Schedule – MPS) ของสินค้าสำเร็จรูป ข้อมูลของแผนผลิตหลักถูกส่งไปยังการวางแผนความต้องการวัสดุ (Material Requirements Planning -MRP) เพื่อเสนอแนะเกี่ยวกับการสั่งวัสดุเพิ่ม
2.2 การวางแผนกำลังการผลิต (Capacity Planning) คือการหาความต้องการกำลังการผลิตของทรัพยากร เช่น คนและเครื่องจักรเพื่อให้สอดคล้องตามแผนวัสดุระบบ ERP แบ่งการวางแผนกำลังการผลิต เป็น 2 แบบคือ 1) การวางแผนกำลังแบบหยาบ (Rough-cut Capacity Planning : RCCP) สำหรับเปรียบเทียบกำลังการผลิตที่ต้องการจากแผนการผลิตหลักกับทรัพยากรหลักๆ ทุกประเภท 2) การวางแผนความต้องการกำลังการผลิต(Capacity Requirements Planning: CRP) สำหรับเปรียบเทียบกำลังการผลิตที่ต้องการกับแผนความต้องการวัสดุกับทรัพยากรโดยละเอียด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการวางแผน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือแผนผลิต และแผนสั่งซื้อเพื่อส่งให้ฝ่ายอื่นๆต่อไป
3. วงจรการสั่งซื้อ (Buy Cycle)
3.1 การแปลงแผนสั่งซื้อเป็นคำสั่งซื้อ จากการ Run MRP ระบบจะแนะนำแผนการสั่งซื้อ ให้ผู้ใช้ตรวจสอบรายละเอียดของแผน เช่น Supplier วัตถุดิบ ปริมาณและราคา เมื่อผ่านการตรวจสอบแล้วสามารถทำการแปลงแผนสั่งซื้อเป็นคำสั่งซื้อได้อัตโนมัติ
3.2 การสร้างคำสั่งซื้อตามการร้องขอจากผู้ขอซื้อ เมื่อผู้ขอซื้อบันทึกข้อมูลวัตถุดิบที่ต้องการซื้อลงใบขอซื้อ (Purchase Requisition) ระบบก็จะตรวจสอบความถูกต้องต่างๆ เช่น ราคาสินค้า ผู้ขายตามบัญชีรายชื่อเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลจะถูกส่งต่อไปให้กับผู้มีอำนาจต่างๆ ตรวจสอบและอนุมัติจากนั้นผู้ซื้อจึงสามารถออกคำสั่งสั่งซื้อ (Purchase Order – PO) ได้
3.3 การรับวัตถุดิบและการตรวจสอบคุณภาพ เมื่อ Supplier มาส่งวัตถุดิบพร้อมกับเอกสารใบกำกับสินค้า/ใบแจงหนี้ (Invoice) ระบบจะทำการปรับปรุงปริมาณสินค้าคงคลังและบันทึกผลการรับวัตถุดิบ เราสามารถกำหนดว่าวัตถุดิบชนิดใดต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพบ้างข้อมูลการรับสินค้าจะถูกส่งไปที่ฝ่ายบัญชีเพื่อเตือนเจ้าหน้าที่อัตโนมัติ
4. วงจรสินค้าคงคลัง (Inventory Cycle)
การควบคุมสินค้าคงคลังมีความสัมพันธ์ กับทุกกระบวนการในระบบ ERP สินค้าคงคลังประกอบด้วยวัตถุดิบ สินค้ากึ่งสำเร็จรูป สินค้าสำเร็จรูป ชิ้นส่วนสำรอง และอื่นๆการควบคุมสินคาคงคลังที่มีประสิทธิภาพทำให้ข้อมูลสินค้าคงคลังในระบบ ERP มีความถูกต้อง ส่งผลให้สามารถใช้งานระบบ ERP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมในการควบคุมสินค้าคงคลังประกอบด้วย การรับวัสดุการตัดจ่ายวัสดุและการปรับปรุงปริมาณวัสดุในคลังสินค้า การเคลื่อนไหวของสินค้าคงคลังจะส่งผลกับยอดสินค้าคงเหลืออยู่ตลอดเวลา ในระบบ ERP ยังมีการนับสินค้าคงคลังแบบ Physical Count และ Cycle Count เพื่อทำให้ข้อมูลในสินค้าคงคลังที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ตรงตามจริง ในระบบ ERP เราสามรถ เลือกกำหนดระดับการควบคุมสินค้าคงคลังได้หลายระดับขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เช่น การกำหนด Lot Serial-Number และ Location ของวัสดุแต่ละรหัสได้ ในการรับหรือตัดจ่ายวัสดุต้องมีการอ้างอิงอยู่ตลอดเวลา เช่น การรับวัตถุดิบ จะอ้างอิงกับหมายเลขคำสั่งซื้อ การเบิกวัตถุดิบเพื่อไปผลิต จะอ้างอิงกับหมายเลขคำสั่งผลิต การส่งสินค้าจะอ้างอิงกับหมายเลขคำสั่งขาย ทั้งนี้เพื่อให้เรามีความสามารถสอบกลับสินค้าได้
5. วงจรการผลิต
5.1 การสร้างคำสั่งผลิต (Work Order – WO) คำสั่งผลิตหรือใบงานในระบบ ERP สร้างขึ้นได้จากหลายทาง เช่น การแปลงแผนคำสั่งผลิตที่ได้จากการ RUN MRP เป็นคำสั่งผลิตหรือการแปลงคำสั่งขายเป็นคำสั่งผลิตโดยตรง หรือการสร้างคำสั่งผลิตขึ้นมาเอง ซึ่งคำสั่งผลิตใช้เป็นตัวควบคุมการผลิตทั้งหมด
5.2 การดำเนินงานและควบคุมการผลิต คือการนำคำสั่งผลิตไปปฏิบัติงานจริง ทำการเปรียบเทียบปริมาณงานกับกำลังการผลิตของแต่ละสถานีงาน การจัดลำดับ (Priority) ของงานที่อยู่ในแถวคอยการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพของสินค้าที่ผลิต
5.3 การเบิกวัสดุ การเบิกวัสดุในระบบ ERP สามารถทำได้หลายวิธีทั้งการเบิกวัสดุทีละรายการการเบิกวัสดุอ้างอิงกับสูตรการผลิตและการเบิกวัสดุแบบ Backflush ในการเบิกวัสดุจะมีการอ้างอิงกับหมายเลขคำสั่งผลิตเพื่อใช้ในการคิดต้นทุน
5.4 การรายงานผลการผลิต การรายงานผลการผลิตในระบบ ERP ได้แก่การรายงานปริมาณการผลิตสินค้า ผลการตรวจสอบคุณภาพ ชั่วโมงแรงงานหรือชั่วโมงเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตของแต่ละคำสั่งการผลิตการรายงานผลการผลิตทำให้เราทราบสถานะของคำสั่งผลิต และให้ข้อมูลที่เราใช้ในการคิดต้นทุน เมื่อผลิตสินค้าเรียบร้อยแล้วข้อมูลจะถูกส่งไปให้ฝ่ายบัญชีเพื่อใช้ในการสรุปต้นทุน
6. วงจรบัญชี (Accounting Cycle)
กระบวนการด้านบัญชีและการเงินของระบบ ERP จะบันทึกรายการทางบัญชีจากกิจกรรมต่างๆโดยอัตโนมัติสอดคลองซึ่งกันกับระบบบัญชีรูปแบบ คือ ทำรายการลงบัญชีในสมุดรายการซื้อ ขาย จ่าย รับ และทั่วไป ประกอบด้วยกระบวนการ 3 ส่วน คือ ระบบบัญชีลูกหนี้ระบบบัญชีเจ้าหนี และระบบบัญชีแยกประเภท โดยรายละเอียดดังนี้
6.1 ระบบบัญชีลูกหนี้ (Accounts Receivable) บัญชีลูกหนี้เริ่มจากการสร้างใบแจ้งหนี้ (Invoice) โดยระบบจะบันทึกรายการบัญชีตั้งลูกหนี้และภาษีขายจากนั้นเมื่อลูกค้ามาจ่ายเงินตามรายการวางบิล ฝ่ายการเงินจะทำการรับเงิน และส่งเอกสารการรับชำระเงินให้ฝ่ายบันทึกรายการรับชำระหนี้และตัดรายการบัญชีลูกหนี้ได้
6.2 ระบบบัญชีเจ้าหนี้ (Accounts Payable) บัญชีเจ้าหนี้เริ่มตั้งแต่ฝ่ายบัญชีได้รับเอกสารใบแจ้งหนีของซัพพลายเอ่อร์อ้างอิงจากการรับสินค้าของฝ่าคลังสินค้าตามใบสั่งซื้อ แล้วทำรายการ Voucher เพื่อตั้งยอดเจ้าหนี้จากนั้นรายการ Voucher จะเข้าสู่การอนุมัติจ่ายเงินเพื่อทำการเตรียมจะจ่ายเงิน (Pre-Payment) และพิมพ์เอกสารอนุมัติเตรียมจ่ายเงินต่อไปเมื่อทำการจ่ายเงินให้เจ้าหนี้แล้ว เอกสารการจ่ายเงินจะถูกส่งให้ฝ่ายบัญชีบันทึกรายการชำระหนี้ (Payment Voucher) ตัดรายการเจ้าหนี้ และบันทึกภาษีหัก ณ ที่จ่ายถ้ามีได้
6.3 ระบบบัญชีแยกประเภท (General Ledger Accounts) ระบบบัญชีแยกประเภทจะเป็นจุดรวบรวมรายละเอียดข้อมูลรายการทางบัญชีที่เกิดขึ้นเพื่อทำการจัดหมวดหมู่รายการทางบัญชีและสรุปรายงานงบการเงินต่างๆได้ ระบบบัญชีแยกประเภทเริ่มจากการสร้างผังบัญชีของบริษัท เพื่อให้ระบบลงบัญชีได้โดยอัตโนมัติ เช่น รายการลูกหนี้และเจ้าหนี้รายการรับและจ่ายเงิน รายการต้นทุนและสินค้าคงคลัง เป็นต้น จากนั้นส่งผ่านรายการเข้าระบบบัญชีแยกประเภท เพื่อกระทบกับยอดยกมาและรายการบัญชีในงวดปัจจุบัน สรุปเป็นยอดยกไป เพื่อตั้งเป็นต้นงวดในงวดถัดไป ในกรณีที่มีรายการปรับปรุงสามารถบันทึกผ่าน Journal Entry แล้วส่งเข้าระบบบัญชีแยกประเภทได้เช่นกัน เมื่อผ่านรายการเข้าระบบบัญชีแยกประเภทแล้ว ผู้ใช้สามารถทำการตรวจสอบความถูกต้องในการบันทึกรายการจากงบทดลอง และปิดงวดบัญชีเพื่อสรุปรายงานทางการเงินต่างๆ เช่น งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด ฯลฯ นอกจากนี้ระบบยังสอบกลับข้อมูลต้นทางเมื่อพบข้อมูลผิดพลาดพลาดจากการบันทึกรายได้
ระบบบัญชีการเงินเป็นส่วนที่ช่วยจัดเก็บข้อมูลในการปฏิบัติงานของทุกส่วนงาน เพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ 2 เรื่อง คือ
– ใช้เป็นข้อมูลสำหรับกระบวนการจัดการภายในองค์กร เช่น การนำข้อมูลต้นทุนการผลิตมาใช้ ประกอบการตัดสินใจเรื่องราคาขายและการวัดผลการปฏิบัติงานในกระบวนการผลิต การสรุปรายงานการเงินต่างๆ และตัววัดผลการปฏิบัติงานในมุมมองด้านการเงิน สำหรับผู้บริหารได้อย่างถูกต้องแม่นยำและทันต่อเวลาที่ต้องการได้
– ใช้เป็นข้อมูลแสดงต่อบุคคลภายนอก เช่น การออกรายงานทางการเงิน เช่นรายการภาษีซื้อ ภาษีขาย ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และงบการเงิน เพื่อรายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสรรพากร หรือบุคคลภายนอกทั่วไป ฯลฯ
ข้อมูลต่างๆในระบบ ERP
ระบบ ERP สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนและจัดการทรัพยากรองค์กรได้โดยใช้ประโยชน์จากระบบข้อมูลที่บูรณาการกันภายในองค์กร จากกระบวนการต่างๆ ภายในระบบ ERP จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด ดังนั้นจึงเกิดการพึ่งพากันอย่างอัตโนมัติ นั่นหมายความว่า จะไม่มีข้อมูลที่ซ้ำซ้อนกัน หรือมีข้อมูลชุดเดียวที่ใช้งานร่วมกันนั่นเอง ข้อมูลในระบบ ERP แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. ข้อมูลคงที่ (Static Data) คือข้อมูลที่มักจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงและกำหนดไว้เพื่อเป็นข้อมูลเริ่มต้นในระบบ เช่น ข้อมูลรายการสินค้า (Item Master) ข้อมูลสูตรการผลิต (Bill of Material) ข้อมูลลูกค้า (Customer) ข้อมูลผู้ขาย (Vendor หรือ Supplier) ฯลฯ เมื่อจัดเก็บเป็นกลุ่มเป็นแฟ้มในคอมพิวเตอร์ ก็อาจเรียกว่า Master File แต่ในระบบฐานข้อมูลปัจจุบันที่เป็น Relational Database จะหมายถึงข้อมูลที่เป็น Master Table ต่างๆ เช่น Item Master Table, Work Center Table
2. ข้อมูลพลวัต (Dynamic Data) คือข้อมูลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานประจำวันที่มีการเคลื่อนไหว และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามธุรกรรม (Transaction) ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานประจำวันและถูกบันทึกเข้าระบบเพื่อให้ประมวลผลอย่างต่อเนื่อง เช่น คำสั่งซื้อสินค้าแต่ละคำสั่งเป็นข้อมูลพลวัตเพราะจำนวนรายการสินค้า, จำนวนที่สั่งซื้อ, ราคา, ผู้ขายหรือซัพพลายเออร์ สำหรับการซื้อแต่ละครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ในระบบ ERP ข้อมูลพื้นฐานที่สุดสำหรับธุรกิจที่มีการผลิต ที่จะต้องเตรียมและนำเข้าสู่ระบบมีอยู่ 6 ประเภทตามวงจรการทำงานแต่ละประเภท ทั้งข้อมูลคงที่และข้อมูลพลวัต ซึ่งต้องใช่ร่วมกันจึงจะสามารถบันทึกความสมบูรณ์ของธุรกรรมได้ การเตรียมข้อมูลในวงจรการทำงานในระบบ ERP ทั้ง 6 ประเภทเรียงตามลำดับก่อนหลังที่ควรเตรียม มีดังนี้
1. ข้อมูลของวงจรบัญชี (Accounting Cycle)
ข้อมูลคงที่ ได้แก่
– ผังบัญชี (Chart of Account) ประกอบด้วยกลุ่ม (Group) กลุ่มย่อย (Subgroup) จนถึงรหัสบัญชีเป็นข้อมูลที่จำเป็นสำหรับเตรียม Master Table อื่นๆ ที่ตามมา เช่น รหัสสินค้า รหัสผู้ขายและรหัสลูกค้า เพราะฐานข้อมูลพวกนี้ต้องผูกความสัมพันธ์กับผังและรหัสบัญชีเพื่ออ้างอิงรายการบันทึกบัญชี
ข้อมูลพลวัต ได้แก่
– Period เป็นรอบระยะเวลาในทางบัญชีที่ใช้บันทึกบัญชี, Budget เป็นระบบงบประมาณที่ใช้เปรียบเทียบจำนวนเงินที่เกิดขึ้นจริง
– JE (Journal Entry) เป็น Transaction การบันทึกรายการเดบิตเครดิตเข้าสู่ระบบการบัญชี
– Recurring Journal Entry เป็น Transaction ที่เกิดขึ้นประจำ
– Cash Receipt เป็นรายการรับเงินจากลูกค้า
– Payment เป็นรายการจ่ายเงินให้เจ้าหนี้
– Bank Reconcile เป็นรายการกระทบยอดเงินฝากระหว่างธนาคารกับเจ้าของกิจการ
2. ข้อมูลของวงจรสินค้าคงคลัง (Inventory Cycle)
ข้อมลคงที่ ได้แก่
– ฐานข้อมูลรายการสินค้า ประกอบด้วย รหัสสินค้า กลุ่มสินค้า ข้อมูลการจัดเก็บ การวางแผน หน่วยจัดเก็บ ราคาต้นทุนต่อหน่วย ตลอดจนรูปภาพและหน่วยแปลงจากการซื้อและขาย (Conversion Factors) เช่น ซื้อเป็นโหล แต่เก็บเป็นชิ้น ข้อมูลระบุสถานที่จัดเก็บหรือคลังสินค้า ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่จัดเก็บต่างๆ และข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างคลังสินค้ากับรหัสสินค้า เพื่อให้สามารถระบุตำแหน่งได้ว่า รหัสสินค้ารายการดังกล่าวจัดเก็บที่ใด
ข้อมูลพลวัต ได้แก่
– ธุรกรรมสินค้าคงลัง หรือ Inventory Transaction เกิดขึ้นในกระบวนการรับวัตถุดิบเข้าคลังจ่ายวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิตการรับ (Work in process – WIP) การรับสินค้าคงคลังจากการผลิต การตัดยอดสินค้าจากการขาย การรับคืนสินค้าจากลูกค้า และการโอนสินค้าไปมาซึ่งระบบสินค้าคงคลังควรรักษาให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นสู่กระบวนการอื่น เช่น การวางแผน การจัดซื้อ และการบัญชี
3. ข้อมูลของวงจรการขาย (Sell Cycle)
ข้อมูลคงที่ได้แก่
– ฐานข้อมูลลูกค้า ประกอบด้วยชื่อบริษัท/ห้างร้าน ที่อยู่สถานที่เรียกเก็บเงิน (ตามเอกสาร ภพ.20 ที่ได้จดทะเบียนการค้ากับหน่วยงานราชการ) สถานที่จัดส่ง ซึ่งลูกค้าบางรายมีสถานที่จัดส่งมากกว่า 1 แห่ง เงื่อนไขการชำระเงิน สกุลเงินที่ใช้ซื้อขาย รหัสบัญชีลูกหนี้ข้อมูลพนักงานขายเป็นต้น
– ฐานข้อมูลราคาขายสินค้า คือฐานข้อมูลที่บริษัทขายให้แก่ลูกค้าแต่ละรายสินค้าตัวเดียวกัน อาจกำหนดให้ มีราคาขายแตกต่างกันได้ในแต่ละลูกค้าหรือกลุ่มลูกค้า โดยอาจกำหนดเป็นราคาสุทธิ ส่วนลดเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือ Mark up ราคาขายจากต้นทุนการผลิต
ข้อมูลพลวัต ได้แก่
– การเสนอราคา (Quoting) เป็น Transaction ของข้อมูลที่เกิดจากฝ่ายขายทำการเสนอราคาให้กับลูกค้า ประกอบด้วย รหัสลูกค้าที่จำการเสนอราคา วันที่ต้องการ รหัสสินค้าที่นำเสนอราคา/ส่วนลด ฯลฯ
– คำสั่งขาย (Sales Order – SO) เป็นการยืนยันคำสั่งซื้อเมื่อลูกค้าเปิด Purchase Order ให้กับเราแล้ว ได้จากการป้อนข้อมูลคำสั่งขายเข้าไป หรือแปลงใบเสนอราคา มาเป็น Sales Order
– Shipment หลังจากมีการยืนยันการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า ระบบ ERP จะตัดสินค้าคงคลังออกจากยอดสต็อก (Stock) และบันทึกรายการ Shipment Log เพื่อเป็นประวัติการจัดส่ง
– Invoice หลังจาก Shipment ระบบจะออกใบกำกับภาษีหรือ Tax Invoice ส่งให้กับลูกค้าและเชื่อมข้อมูลไปยังระบบบัญชีลูกหนี้ของ ERP
4. ข้อมูลของวงจรการจัดซื้อ (Buy Cycle)
ข้อมูลคงที่ได้แก่
– ฐานข้อมูลผู้ขายหรือซัพพลายเออร์ ทั้งซัพพลายเออร์ที่ขายวัตถุดิบและซัพพลายเออร์ในกรณีที่เป็นค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองอื่นๆ เช่น อุปกรณ์สำนักงาน ค่าจ้างทำ ค่าขนส่ง เป็นต้น ซึ่งข้อมูลที่สำคัญประกอบด้วย ชื่อบริษัท/ห้างร้าน ที่อยู่สถานที่ตามเอกสารใบกำกับภาษี (ตามเอกสาร ภพ.20 ที่ได้จดทะเบียนการค้ากับหน่วยงานราชการ) สถานที่จ่ายเงิน เงื่อนไขการชำระเงิน สกุลเงินที่ใช้ซื้อขาย รหัสบัญชีเจ้าหนี้และกรณีที่ซัพพลายเออร์เจ้าใดอยู่ใน (Approve Vendor List – AVL) ต้องผูกความสัมพันธ์เข้าไปด้วย
– ฐานข้อมูลบัญชีวัตถุดิบ วัตถุดิบจากซัพพลายเออร์คนละราย อาจจะมีราคาและคุณลักษณะที่แตกต่างกัน
ข้อมูลพลวัตได้แก่
– ใบขอซื้อหรือใบขอจัดซื้อ (Purchase Requisition) คือกระบวนการแจ้งความต้องการซื้อวัตถุดิบ อุปกรณ์ ฯลฯ และส่งให้ผู้อนุมัติตามลำดับขั้นตอน จนสุดท้ายกลายเป็นคำสั่งซื้อต่อไป ซึ่งประกอบด้วยรายการวัตถุดิบที่ต้องการ / ข้อมูลการสืบราคาขายจากผู้ขาย / วันที่ต้องการ / วงเงินที่ต้องการขออนุมัติ เป็นต้น
– ใบสั่งซื้อ (Purchase Order) เมื่อผู้อนุมัติอนุมัติแผนการสั่งซื้อหรือใบขอซื้อเจ้าหน้าที่จัดซื้อจะทำการบันทึกคำสั่งซื้อไปยังซัพพลายเออร์เพื่อสั่งสินค้า ประกอบด้วย ข้อมูลซัพพลายเออร์รหัส / ชื่อ / ที่อยู่ / เงื่อนไขการชำระเงิน (Payment Term) / รหัสสินค้าที่จะซื้อ / ราคา / วันที่ต้องการ / ปริมาณที่ต้องการ / หน่วยซื้อ- หน่วยจัดส่ง เป็นต้น
– การรับวัตถุดิบจากการสั่งซื้อ คือ Inventory Transaction ทำการรับโดยอ้างอิงข้อมูลการสั่งซื้อเป็นสำคัญ ประกอบด้วยเลขที่ใบสั่งซื้อ / รหัสวัตถุดิบที่รับ / ปริมาณที่รับ หากมีการตรวจสอบคุณภาพ ต้องระบุปริมาณของดีของเสียด้วย
– Supplier Invoice คือ Transaction ที่เกิดจากการคีย์ข้อมูล Invoice ของ Supplier เข้าสู่ระบบ ERP เพื่อตั้งหนี้ทำการจ่ายเงิน ประกอบด้วยเลขที่ Invoice / ชื่อซัพพลายเออร์ / ที่อยู่ / ปริมาณเงินที่ต้องชำระ / ภาษีฯลฯ
5. ข้อมูลของวงจรการวางแผน (Plan Cycle)
ข้อมูลคงที่ ได้แก่
– รายการวัสดุหรือโครงสร้างผลิตภัณฑ์ (Bill of Material – BOM) โครงสร้างผลิตภัณฑ์ หรือสูตรการผลิตจะแสดงรายการของส่วนประกอบที่เป็นชิ้นส่วน ระหว่างการผลิต และวัตถุดิบทั้งหมด ซึ่งนำเข้ามาประกอบเป็นสินค้าตัวแม่ และสูตรการผลิตนี้จะถูกใช้รวมกับแผนการผลิตหลัก (Master Production Schedule) เพื่อตัดสินใจว่าชิ้นส่วนใดบ้าง ที่สมควรจะออกใบสั่งซื้อหรือใบสั่งผลิต เพื่อทำการสั่งซื้อหรือสั่งผลิตโดยปกติโครงการส่วนใหญ่จะใช้เวลาในการเตรียมและตรวจสอบความถูกต้องของ BOM อยู่นาน และ BOM แต่ละอันควรมี โดยที่เวลาสร้าง BOM จะทำการเตรียมแบบที่มีรายการวัสดุเพียงระดับเดียว (Single-level BOM) ก่อน เพื่อประโยชน์ในการวางแผน มีการประยุกต์ใช้ BOM ประเภท Planning Bill หรือ Transient Bill of Material ซึ่งเป็น BOM ที่มีเวลานำ (lead time) เป็นศูนย์ซึ่งผู้ที่เตรียมข้อมูลต้องมีความเข้าใจในการใช้กลไกนี้ไปใช้ประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งหาต้นทุนของผลิตภัณฑ์ด้วย
– พารามเตอร์ที่ใช้ในการวางแผน เช่น
o Lead Time หรือเวลานำ ที่ใช้ในการผลิตหรือจัดซื้อ
o Safety Stock หรือสต็อกเผื่อขาด
o Shop Calendar ปฏิทินการทำงานที่กำหนดขึ้นเพื่อนำมาใช้ในการวางแผน
o MRP Planning Parameter คือพารามิเตอร์ที่ต้อง Set เข้าไป สำหรับการรัน MRP เช่น Planning Horizon, Planning Time Fence ฯลฯ
o Order Policy นโยบายในการสั่งซื้อแบบ Discrete, Min/ Max/ Mult, Period
Order Quantity และ Fixed Order Quantity เป็นต้น
ข้อมูลพลวัต ได้แก่
– ECR / ECN Transaction – คือธุรกรรมที่เกิดขึ้นควบคุม และเก็บข้อมูลการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับข้อมูล Static Data ขององค์กรที่เกิดขึ้น เช่น กรณีฝ่ายผลิตมีการเปลี่ยนแปลง BOM สินค้าเนื่องจากสาเหตุของวัสดุที่นำไปทำการผลิตไม่ตรงตามข้อกำหนดในการผลิต จึงเกิดกระบวนการร้องขอเปลี่ยนแปลง BOM โดยการออกเอกสาร ECR (Engineering Change Request) ให้ผู้มีอำนาจอนุมัติและเมื่อทำการแก้ไขปรับเปลี่ยนตามคำขอในระบบแล้วจึงออกเป็นเอกสาร ECN (Engineering Change Notice) เพื่อประกาศให้ผู้เกี่ยวข้องรับทราบทั่วกันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
– Master Production Schedule คือข้อมูลการผลิตหลักที่ต้องป้อนเข้าสู่ระบบ
– Sales Forecast คือข้อมูลคำพยากรณ์การขายและการผลิต ได้มาจากการคำนวณ โดยใช้เทคนิคการพยากรณ์ต่างๆ หรือจากประสบการณ์ของผู้วางแผน
– แผนการผลิต เมื่อคำนวณ MRP แล้วระบบจะสร้างแผนการผลิตมาให้ตามความต้องการ
ที่เกิดขึ้น เพื่อแปลงไปเป็นคำสั่งผลิต
– แผนการจัดซื้อ หลังจากคำนวณ MRP ระบบจะสร้างแผนการจัดซื้อให้อัตโนมัติและแผนดังกล่าวจะถูกส่งไปยังเจ้าหน้าที่ Buyer เพื่อ Convert รายการดังกล่าวไปเป็นคำสั่งซื้อ
6. ข้อมูลของวงจรการผลิต (Make Cycle)
ข้อมูลคงที่ได้แก่
– ศูนย์ผลิตหรือศูนย์งาน (Work Center) หมายถึงสถานีงานที่ใช้ทำการผลิตขั้นตอนหนึ่งหรือหลายขั้นตอน ซึ่งศูนย์งานอาจจะเป็นคนหนึ่งคนหรือมากกว่า หรือจะเป็นเครื่องจักรก็ได้ ที่สามารถจะถือว่า เป็นหน่วยผลิตหน่วยเดียวกันได้ และต้องกำหนดขึ้นในระบบ ERP เพื่อวัตถุประสงค์ในการวางแผนความต้องการกำลังผลิต (Capacity Requirements Planning) และการจัดกำหนดการของงานอย่างละเอียด (Detail Scheduling) โดยการนิยามศูนย์งานควรทำอย่างระมัดระวังเพื่อว่า ผลจาก CRP จะให้ประโยชน์ในการวางแผนกำลังการผลิตได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเพิ่มขึ้น
– เส้นทางการผลิต (Routing) เป็นข้อมูลที่ต้องเตรียมเพื่อแสดงขั้นตอนต่างๆ ในการผลิตสินค้าสำเร็จรูป และกึ่งสำเร็จรูป ผ่านไปตามศูนย์งานต่างๆ ในเวลาที่ผลิต (Shop Floor) อย่างละเอียด และในบางระบบจะมีข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนต่างๆ ที่ต้องปฏิบัติลำดับขั้นตอนศูนย์งานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานต่างๆ ในการตั้งเครื่องและผลิต ในทางบริษัท เส้นทางการผลิตรวม ทั้งข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องไม้เครื่องมือระดับทักษะที่ต้องการของผู้ผลิตได้ความต้องการในการทดสอบและอื่นๆ ด้วย และในบริษัทที่ผลิต
สินค้าบางประเภท ที่มีความซับซ้อนมาก อาจะต้องใช้ซอฟต์แวร์ประเภท Manufacturing Execution System มาเชื่อมกับระบบ ERP เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
– ข้อมูลกำลังการผลิต ฝ่ายผลิตต้องกำหนดลงไปว่ากำลังการผลิตของแต่ละ Work Center เท่ากับเท่าไหร่วันไหนทำงาน วันไหนหยุด วันที่ทำงานทำวันละกี่ชั่วโมง กี่กะ รวมถึงค่า Efficiency และ Utilization ด้วย
– ข้อมูลการบำรุงรักษาเครื่องจักร โดยฝ่ายผลิตจะต้องระบุว่าเครื่องจักร หรือ Work Center ใด จะต้องหยุดวันไหนบ้าง เพื่อทำการซ่อมบำรุง
– ข้อมูลประสิทธิภาพการผลิต เช่น %Yield, %Scarp ฯลฯ ที่เกิดขึ้นระหว่างการผลิต
ข้อมูลพลวัต ได้แก่
– ใบสั่งผลิต (Work Order – WO) หรือใบงาน (Job Order) คือการสร้างข้อมูลการสั่งผลิตโดยระบุว่าต้องผลิตสินค้ารายไหน วันที่เท่าไหร่ เป็นปริมาณเท่ากับเท่าไหร่
– กระบวนการเบิกวัตถุดิบ (Issue) คือกระบวนการตัดเบิกวัตถุดิบ อ้างอิงตามเอกสารการเบิกวัตถุดิบ (Picking List)
– Transaction การรายงานผลการผลิต ใช้สำหรับติดตามสถานะของคำสั่งการผลิตเมื่อการผลิตเกิดขึ้นแล้ว แต่ละศูนย์งานจะรายงานความคืบหน้ามาสู่ ERP
ที่มา course.eau.ac.th/course/Download/0240814/erpdata.doc
ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์สำเร็จรูป
1. บริษัท อยุธยา เทคโนโลยี เซอร์วิส จำกัด http://www.ats.co.th
ดำเนินกิจการเกี่ยวกับ รับวางระบบงานคอมพิวเตอร์ ครบวงจร โดยมีระบบงานที่เป็น package สำเร็จรูปทางด้าน ERP ,SCM ,CRM ให้ลูกค้าได้เลือกใช้บริการ
2. บริษัท รีโมแมกซ์ จำกัด http://www.remomax.com
พัฒนาซอฟท์แวร์ระบบ ERP แก่องค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ
3. ซอฟท์แวร์ ERP http://www.remomax.com
ให้บริการด้านซอฟท์แวร์ ERP นวัตกรรมใหม่ด้วยแนวคิด Software As A Service ง่ายต่อการใช้งาน
4. ERP Intelligence Industry and Finance Software http://www.erp7.tk
ERP Intelligence Industry and Finance Software
5. บริษัท อัลซอฟตรา จำกัด http://www.erpsquare.com
ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษา จัดอบรม และจำหน่ายซอฟท์แวร์ ERP
6. คอมพรีเฮนซีฟ โซลูชั่นส์ http://www.cscompthai.igetweb.com/
ตัวแทนจำหน่ายซอฟแวร์บัญชี SAGE, ACCPAC, ERP พร้อมให้คำปรึกษาและบริการหลังการขาย
7. บริษัท บิสซิเนส ซิสเต็มเมติก โซลูชั่น จำกัด http://www.bssolution.co.th
บริษัทดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาและพัฒนาระบบ Enterprise resource planning (ERP)
8. โปรแกรมบัญชีไทย http://www.programbuncheethai.com
จำหน่ายโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป โปรแกรม ERP ให้คำปรึกษาทางบัญชี วางระบบบัญชี
9. บริษัท อีลิท คอนซัลติ้ง จำกัด http://www.eliteconsulting.co.th
ให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาระบบธุรกิจ เน้นให้บริการด้านวางระบบ ERP สำหรับธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูปเป็นหลัก
10. บริษัท แพเท้นท์ จำกัด http://www.workplus.co.th
ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ WorkPlus เป็นระบบซอฟท์แวร์ ERP เชื่อมโยงการทำงาน ลดต้นทุน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
11. บริษัทโฟร์เอ็กซ์ตรีม จำกัด http://www.4x-treme.com
ประกอบกิจการด้านซอฟต์แวร์ อาทิ Application บน iPhone สร้างเว็บไซต์ ทำระบบERP และอื่นๆ
12. พรอมท์ โซลูชั่น http://www.promptth.com
บริษัทผู้ให้บริการวางระบบ ERP, CRM, SCM และ E-Business Solutions นอกจากนี้ยังให้บริการทางด้าน IT service และ จัดจำหน่าย Computer Hardware และ Software
13. บริษัท เอ็นวิชั่น คอนซัลติ้ง จำกัด http://www.envisionthailand.com
ให้บริการและให้คำปรึกษาด้านการใช้ซอฟท์แวร์ มุ่งเน้นที่ Software ERP, Software ทางด้านบัญชี และอื่นๆ
14. บริษัท บ้านบัญชีและที่ปรึกษา จำกัด http://www.baanbunche.com
บริษัทที่ทำธุรกิจด้านบัญชีและที่ปรึกษา เสนอบริการ Outsource ระบบบัญชีครบวงจรแก่บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งรวมถึงการบริการทำบัญชีและภาษี การตรวจสอบบัญชี ปรึกษาภาษีอากร ปรึกษาด้านจัดการ และการจัดวางระบบ ERP
15. ระบบ ERP ภาษาไทย ประสิทธิภาพสูง http://www.bridsystems.com
PlanetOneERP คือระบบซอฟต์แวร์ สำหรับองค์กรที่สมบูรณ์แบบ เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง
16. ERP Manufacturing.MRP. http://www.erp7.co.cc
ERP++ Intelligence Industry and Finance Software
17. อีอาร์พี-ไทยแลนด์ http://www.erp-thailand.com
จำหน่ายซอฟต์แวร์ ERP MRP BI ระบบงานวิศวกรรม ระบบโลจิสติกส ระบบการวิเคราะห์ และระบบบริหารจัดการ
18. บริษัท วีอาร์เนสส์ จำกัด http://www.vrness.com
ศูนย์รวมข้อมูล และซอฟท์แวร์โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปบนวินโดวส์ อาทิ ERP, Formula, MRP, HRM
19. โปรแกรมบัญชี http://www.buncheeerp.com
ให้ความรู้เกี่ยวกับโปรแกรมบัญชี เช่น โปรแกรมเงินเดือน Forma, Formula, ERP, CRM, MyAccount ฯลฯ
20. คริสตอลซอฟท์แวร์กรุ๊ป http://www.crystalsoftwaregroup.com
เป็นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตซอฟท์แวร์ระบบบัญชี และการบริหาร
21. บริษัท ซันเด โซลูชันส์ จำกัด http://www.sundae.co.th
บริษัทผู้ให้บริการโซลูชั่นและที่ปรึกษาทางด้าน CRM, ERP, E-Business, E-Marketing, Call Center และเว็บแอปพลิเคชั่นส์แก่ธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ
22. บริษัท ลาโคนิค เทคโนโลยี จำกัด http://www.rfidsiam.com
บริษัทผู้ออกแบบและพัฒนาระบบ วางแผนทางธุรกิจ (ERP) และผลิตระบบที่นำไปใช้กับเทคโนโลยี RFID
23. บริษัท ไอเอฟเอส ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด http://www.ifs.co.th
บริษัทดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาซอฟท์แวร์ (ERP software) ทั้งซอฟท์แวร์สำเร็จรูปและซอฟท์แวร์ประยุกต์
24. บริษัท บิสซิเนส คอร์ เซอร์วิส จำกัด http://www.biscore.com
บริษัทดำเนินธุรกิจการพัฒนา ERP และการพัฒนาธุรกิจ การพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กร
25. บริษัท เอ็มโฟกัส จำกัด [กรุงเทพฯ] http://www.m-focus.co.th/
ให้บริการด้านซอฟต์แวร์ รับวางแผนทรัพยากรองค์กร จัดตารางการผลิต บริการด้านระบบคุณภาพ และบริการให้คำปรึกษาให้บริการทางด้านให้คำปรึกษา ISO 9000 และ บริการจัดฝึกอบรม ISO 9000
26. บริษัท ดี.ซอพท์ คอนซัลติ้ง จำกัด http://www.dsoft.co.th
ตัวแทนจำหน่ายโปรแกรมสำเร็จรูปบัญชี โปรแกรมสำหรับการผลิต โปรแกรมบริหารทรัพยากรบุคคล โปรแกรมบริหารระบบหน้าร้าน ระบบต้นทุนการผลิต
27. ซอฟต์วันเอเซีย http://www.softoneasia.net
ผู้ผลิตและให้บริการโปรแกรม ERP สำหรับธุรกิจการเงิน อุตสาหกรรมผลิต งานบุคคล
28. บริษัท จูปิเตอร์ ซิสเต็ม (ประเทศไทย) จำกัด http://www.jupitersystems.co.th
บริษัทพัฒนาและจำหน่ายซอฟท์แวร์ Enterprise Resource Information and Control System (ERIC) เป็นซอฟท์แวร์ที่รวบรวมการจัดการด้านการเงิน การกระจายสินค้า การผลิต งานด้านบุคคล
29. บริษัท อินฟินิเทค จำกัด http://www.infinitech.co.th
ให้คำปรึกษาด้านซอฟต์แวร์ จัดวางระบบ รวมไปถึงพัฒนา Web Application Project Managment Tools CMS ERP…
30. บริษัท ไซเจ็น เลิร์นนิ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด http://www.zygencenter.com/
เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบ SAP การอบรม SAP และที่เป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับระบบ SAP ERP ซอฟท์แวร์ที่มีการ Integrate ในส่วนของฟังก์ชันงานทั้งหมดในองค์กรเข้าด้วยกันและ SAP B1 ซอฟท์แวร์ ERP สำหรับธุรกิจ SME
31. โปรแกรมบัญชี CD Organizer http://www.cd-organizer.com/
CD Organizer เป็นโปรแกรมบัญชี ระบบซื้อ/ขาย รับเงิน/จ่ายเงิน สต๊อก เช็ครับ/เช็คจ่าย บัญชี ERP PAYR…
32. บริษัท เคอร์เนิล คอนซัลติ้ง จำกัด http://www.kernelconsulting.com
ให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาในการนำโปรแกรม SAP มาใช้ เพื่อการดำเนินธุรกิจ
33. คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เกรท เมนูแฟคเทอรี่ง http://www.cimcoltd.com
จำหน่าย และรับวางระบบซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการบริหารงานในโรงงาน
34. วิชั่น โฟร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ ซอฟแวร์ http://www.vision4.co.th
ผลิตและจำหน่ายซอฟท์แวร์ BOS ERP2004 เพื่อการบริหารระบบปฏิบัติการธุรกิจ และให้บริการพัฒนาซอฟแวร์ตามความต้องการ
ที่มา http://dir.sanook.com/tags/ERP/
พัฒนาการของระบบ ERP
แนวคิด ERP เริ่มในยุคปี ค.ศ. 1990 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จุดกำเนิดเริ่มแรกของ ERP มาจากแนวคิดของการพัฒนาระบบการบริหารการผลิตรวม (Material Requirement Resource Planning / Manufacturing Resource Planning, MRP System) ของอุตสาหกรรมการผลิตในอเมริกา โดยคำว่า ERP และแนวคิดของ ERP นั้นก็พัฒนามาจาก MRP นั่นเอง
ในที่นี้จะขออธิบาย ความเป็นมาของ MRP โดยย่อว่ามีความเป็นมาอย่างไร และทำไมจึงพัฒนามาเป็น ERP ได้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถเข้าใจความหมายของ ERP ได้ดียิ่งขึ้น และตัวแนวคิด ERP เองก็ยังมีวิวัฒนาการอยู่ จาก ERP ก็จะเป็น Extended ERP และจะพัฒนาไปเป็น Next Generation ERP ต่อไปในอนาคต
กำเนิดของ MRP
แนวคิดMRPเกิดขึ้นครั้งแรกที่อเมริกาในยุคต้นของ ทศวรรษ 1960 ในช่วงแรก MRP ย่อมาจาก Material Requirement Planning (การวางแผนความต้องการวัสดุ) เป็นวิธีการในการหาชนิดและจำนวนวัสดุที่ต้องใช้ในการผลิตตามตารางเวลาและจำนวนสินค้าที่ได้วางแผนโดย MPS (Master Production Schedule)
วิธี MRP เป็นเทคนิคในการจัดการ ที่สามารถหารายการวัสดุที่ต้องใช้ในการผลิตสินค้าสำเร็จรูป ตามแผนการผลิตหลักที่ได้วางไว้ โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย สามารถสร้างใบรายการวัสดุ (bill of material)ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถบอกชนิดของวัสดุ จำนวนที่ต้องการ และเวลาที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ แต่วิธี MRP นี้ไม่มีความสามารถในการตรวจสอบหาข้อแตกต่างระหว่างแผนการผลิตกับสภาพการผลิตจริงที่ shop floor เนื่องจากไม่มีฟังก์ชั่นเกี่ยวกับการป้อนกลับข้อมูลกลับมาปรับแผนใหม่ อย่างไรก็ตาม วิธี MRP ก็ยังดีกว่าวิธีการควบคุมสินค้าคงคลังแบบเดิม ช่วยให้สามารถลดจำนวนวัสดุคงคลัง และยกประสิทธิภาพการวางแผนการผลิตและการสั่งซื้อวัตถุดิบได้เป็นอย่างดีClosed Loop MRP
ย่างเข้ายุคปี ค.ศ. 1970 MRP ได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถในการป้อนกลับข้อมูลการผลิตจริงใน shop floor นอกจากนั้นยังเพิ่มแนวคิดเรื่อง การวางแผนความต้องการกำลังการผลิต (Capacity Requirement Planning) ระบบ MRP ที่ได้วิวัฒนาการโดยรวมเอาความสามารถรับ feed back จากฝ่ายการผลิต และ CRP เข้าไปนี้ ต่อมาถูกเรียกว่า MRP แบบวงปิด (Closed Loop MRP) ในขั้นตอนนี้ของวิวัฒนาการเราจะเห็นว่ามีการรวมเอางานการวางแผนการผลิต และการบริหารการผลิตเข้าเชื่อมโยงกัน จากที่ก่อนหน้านั้นทำงานแยกกันClosed Loop MRP นี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในอุตสาหกรรมการผลิตในปัจจุบัน MRP ที่ใช้ในทุกธุรกิจการผลิตก็คือ Closed Loop MRP นี้เองการพัฒนาไปสู่ MRP II
จากความสำเร็จของ Closed Loop MRP ก็เกิดการพัฒนาต่อยอดขึ้นเป็น MRP II ในยุคปี ค.ศ. 1980 (โดย MRP ใหม่นี้ย่อมาจาก Manufacturing Resource Planning) ซึ่งได้รวมการวางแผนและบริหารทรัพยากรการผลิตอื่นๆ นอกจากการวางแผนและควบคุมกำลังการผลิต และวัตถุดิบการผลิต เข้าไปในระบบด้วย
MRP II ได้วิวัฒนาการถึงขั้นที่รวมหน้าที่ต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย การวางแผนงบการจัดซื้อวัตถุดิบ การวางแผนต้นทุนสินค้าคงคลังของระบบบริหารสินค้าคงคลัง การวางแผนกำลังคนที่สัมพันธ์กับกำลังการผลิต ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนการผลิต เข้าอยู่ในระบบ MRP II
ด้วยความสามารถนี้ทำให้ MRP II เป็นระบบที่สามารถส่งข้อมูลทุกชนิด ที่ระบบบัญชีต้องการให้แก่ระบบบัญชีได้ นั่นคือ MRP II เป็นระบบที่รวมเอา Closed loop MRP , ระบบบัญชี และระบบซิมูเลชั่น เข้าด้วยกัน เป็นการขยายขอบเขตของสิ่งที่สามารถวางแผนและบริหารให้กว้างขวางออกไปยิ่งขึ้นกว่าเดิมโดยการใช้ระบบ MRP II ธุรกิจการผลิตสามารถที่จะวางแผนและบริหารระบบงานต่างๆ คือ การขาย บัญชี บุคคล การผลิต และสินค้าคงคลัง เข้าด้วยกัน ได้อย่างบูรณาการ ด้วยความสามารถนี้ทำให้ MRP II เริ่มถูกเรียกว่า BRP (=Business Resource Planning) และเริ่มเป็นแนวคิดหลักของระบบ CIM (=Computer Integrated Manufacturing) จาก MRP II ไปเป็น ERP
MRP II เป็นแนวคิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต ERP ได้ขยายแนวคิดของ MRP II ให้สามารถใช้ได้ทั้งองค์กรของธุรกิจที่หลากหลาย โดยการรวมระบบงานหลักทุกอย่างในองค์กรเข้ามาเป็นระบบเดียวกัน นั่นคือ ERP เกิดขึ้นจากความต้องการที่จะสามารถตัดสินใจในด้านธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ และแบบเรียลไทม์ โดยอาศัยข้อมูลทุกชนิดจากทุกระบบงานในองค์กรที่ระบบนำมาบันทึกเก็บไว้ในฐานข้อมูลรวมเดียวกัน
การพัฒนาต่อจาก ERP
แนวคิด ERP เกิดจากการขยาย MRP II ซึ่งเป็นระบบที่ optimize ในส่วนการผลิต ให้เป็นระบบที่ optimize ทั้งบริษัท ในปัจจุบันมีการพัฒนา E-Business อย่างรวดเร็ว และทำให้ขอบเขตของการ optimize ต้องมองให้กว้างมากขึ้นไปกว่าเดิมเป็น global optimize นั่นหมายความว่า ERP ก็จะมีวิวัฒนาการต่อไปอีก
การอ้างอิง
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=10a96978cc0e1712
เทคโนโลยีเชิงความร่วมมือของ ERP
แนวคิด ERP เริ่มในยุคปี ค.ศ. 1990 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จุดกำเนิดเริ่มแรกของ ERP มาจากแนวคิดของการพัฒนาระบบการบริหารการผลิตรวม (Material Requirement Resource Planning / Manufacturing Resource Planning, MRP System) ของอุตสาหกรรมการผลิตในอเมริกา โดยคำว่า ERP และแนวคิดของ ERP นั้นก็พัฒนามาจาก MRP นั่นเอง
ในที่นี้จะทำการอธิบาย ความเป็นมาของ MRP โดยย่อว่ามีความเป็นมาอย่างไร และทำไมจึงพัฒนามาเป็น ERP ได้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถเข้าใจความหมายของ ERP ได้ดียิ่งขึ้น และตัวแนวคิด ERP เองก็ยังมีวิวัฒนาการอยู่ จาก ERP ก็จะเป็น Extended ERP และจะพัฒนาไปเป็น Next Generation ERP ต่อไปในอนาคต
รูปพัฒนาการจาก MRP สู่ ERP
กำเนิดของ MRP
แนวคิด MRP เกิดขึ้นครั้งแรกที่อเมริกาในยุคต้นของ ทศวรรษ 1960 ในช่วงแรก MRP ย่อมาจาก Material Requirement Planning (การวางแผนความต้องการวัสดุ) เป็นวิธีการในการหาชนิดและจำนวนวัสดุที่ต้องใช้ในการผลิตตามตารางเวลาและจำนวนสินค้าที่ได้วางแผนโดย MPS (Master Production Schedule)
วิธี MRP เป็นเทคนิคในการจัดการ ที่สามารถหารายการวัสดุที่ต้องใช้ในการผลิตสินค้าสำเร็จรูป ตามแผนการผลิตหลักที่ได้วางไว้ โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย สามารถสร้างใบรายการวัสดุ (bill of material)ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถบอกชนิดของวัสดุ จำนวนที่ต้องการ และเวลาที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ
แต่วิธี MRP นี้ไม่มีความสามารถในการตรวจสอบหาข้อแตกต่างระหว่างแผนการผลิตกับสภาพการผลิตจริงที่ shop floor เนื่องจากไม่มีฟังก์ชั่นเกี่ยวกับการป้อนกลับข้อมูลกลับมาปรับแผนใหม่ อย่างไรก็ตาม วิธี MRP ก็ยังดีกว่าวิธีการควบคุมสินค้าคงคลังแบบเดิม ช่วยให้สามารถลดจำนวนวัสดุคงคลัง และยกประสิทธิภาพการวางแผนการผลิตและการสั่งซื้อวัตถุดิบได้เป็นอย่างดี
Closed Loop MRP
ย่างเข้ายุคปี ค.ศ. 1970 MRP ได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถในการป้อนกลับข้อมูลการผลิตจริงใน shop floor นอกจากนั้นยังเพิ่มแนวคิดเรื่อง การวางแผนความต้องการกำลังการผลิต (Capacity Requirement Planning)
ระบบ MRP ที่ได้วิวัฒนาการโดยรวมเอาความสามารถรับ feed back จากฝ่ายการผลิต และ CRP เข้าไปนี้ ต่อมาถูกเรียกว่า MRP แบบวงปิด (Closed Loop MRP) ในขั้นตอนนี้ของวิวัฒนาการเราจะเห็นว่ามีการรวมเอางานการวางแผนการผลิต และการบริหารการผลิตเข้าเชื่อมโยงกัน จากที่ก่อนหน้านั้นทำงานแยกกัน Closed Loop MRP นี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในอุตสาหกรรมการผลิตในปัจจุบัน MRP ที่ใช้ในทุกธูรกิจการผลิตก็คือ Closed Loop MRP นี้เอง
การพัฒนาไปสู่ MRP II
จากความสำเร็จของ Closed Loop MRP ก็เกิดการพัฒนาต่อยอดขึ้นเป็น MRP II ในยุคปี ค.ศ. 1980 (โดย MRP ใหม่นี้ย่อมาจาก Manufacturing Resource Planning) ซึ่งได้รวมการวางแผนและบริหารทรัพยากรการผลิตอื่นๆ นอกจากการวางแผนและควบคุมกำลังการผลิต และวัตถุดิบการผลิต เข้าไปในระบบด้วย MRP II ได้วิวัฒนาการถึงขั้นที่รวมหน้าที่ต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย การวางแผนงบการจัดซื้อวัตถุดิบ การวางแผนต้นทุนสินค้าคงคลังของระบบบริหารสินค้าคงคลัง การวางแผนกำลังคนที่สัมพันธ์กับกำลังการผลิต ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนการผลิต เข้าอยู่ในระบบ MRP II ด้วยความสามารถนี้ทำให้ MRP II เป็นระบบที่สามารถส่งข้อมูลทุกชนิด ที่ระบบบัญชีต้องการให้แก่ระบบบัญชีได้ นั่นคือ MRP II เป็นระบบที่รวมเอา Closed loop MRP , ระบบบัญชี และระบบซิมูเลชั่น เข้าด้วยกัน เป็นการขยายขอบเขตของสิ่งที่สามารถวางแผนและบริหารให้กว้างขวางออกไปยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยการใช้ระบบ MRP II ธุรกิจการผลิตสามารถที่จะวางแผนและบริหารระบบงานต่างๆ คือ การขาย บัญชี บุคคล การผลิต และสินค้าคงคลัง เข้าด้วยกัน ได้อย่างบูรณาการ ด้วยความสามารถนี้ทำให้ MRP II เริ่มถูกเรียกว่า BRP (=Business Resource Planning) และเริ่มเป็นแนวคิดหลักของระบบ CIM (=Computer Integrated Manufacturing)
จาก MRP II ไปเป็น ERP
MRP II เป็นแนวคิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต ERP ได้ขยายแนวคิดของ MRP II ให้สามารถใช้ได้ทั้งองค์กรของธุรกิจที่หลากหลาย โดยการรวมระบบงานหลักทุกอย่างในองค์กรเข้ามาเป็นระบบเดียวกัน นั่นคือ ERP เกิดขึ้นจากความต้องการที่จะสามารถตัดสินใจในด้านธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ และแบบเรียลไทม์ โดยอาศัยข้อมูลทุกชนิดจากทุกระบบงานในองค์กรที่ระบบนำมาบันทึกเก็บไว้ในฐานข้อมูลรวมเดียวกัน
การพัฒนาต่อจาก ERP
แนวคิด ERP เกิดจากการขยาย MRP II ซึ่งเป็นระบบที่ optimize ในส่วนการผลิต ให้เป็นระบบที่ optimize ทั้งบริษัท ในปัจจุบันมีการพัฒนา E-Business อย่างรวดเร็ว และทำให้ขอบเขตของการ optimize ต้องมองให้กว้างมากขึ้นไปกว่าเดิมเป็น global optimize นั่นหมายความว่า ERP ก็จะมีวิวัฒนาการต่อไปอีก
ที่มา http://www.cs.buu.ac.th/~werapan/321341/Presents/Ch9_ERP1.doc